ไลฟ์แฮ็ก

4 checklist สะกิดใจ ก่อนไปแจ้งความ (ให้ได้ความ)

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
4 checklist สะกิดใจ ก่อนไปแจ้งความ (ให้ได้ความ)

หลังจากวันที่ผมได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากการสาธิตของทนายดำ เกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อเจอสถานการณ์บนท้องถนนที่ทำให้เรากลายเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหา ดังที่เขียนไว้ในบทความ "5 ยุทธวิธีรับมือ เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาในคดีจากการใช้รถใช้ถนน" แล้ว ผมก็ไม่ได้พบทนายดำเจ้าเพื่อนยากอีก เพราะต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับภารกิจการงานของตน

จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา  ผมเข้าไปทำธุระในกรุงเทพ  เลยแวะหาเจ้าเพื่อนเกลอ  พอดีวันนั้นเขากำลังจะไปยายประนอม ญาติห่าง ๆ ของเขาที่พักอาศัยอยู่แถวปริมณฑล  โดยผมเองก็รู้จักคุ้นเคยกับยายประนอมมาก่อน  จึงได้ถือโอกาสติดตามไปเยี่ยมเยียนแกด้วย

ยายประนอมแกมีนิสัยค่อนข้างขี้บ่น  แกสามารถบ่นได้กับทุกเรื่องรอบตัว ตั้งแต่เรื่องความหงุดหงิดไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวของแกเอง ไปจนถึงสภาพดินฟ้าอากาศ

Advertisement

Advertisement

เช่นเดียววันที่ผมกับทนายดำเข้าไปเยี่ยม ก็ได้ฟังยายประนอมบ่นเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่  จับใจความได้ประมาณว่า แถวบ้านที่แกพักอาศัยอยู่นั้น มีสภาพแวดล้อมค่อนข้างวุ่นวาย ด้วยปัญหาจุกจิกกวนใจ ตั้งแต่การทะเลาะเบาะแว้งหรือกระทบกระทั่งของคนในชุมชน ไปจนถึงปัญหาอาชญากรรม ลักเล็กขโมยน้อย อะไรพวกนี้ แต่พอไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ บ่อยครั้งก็ไม่ค่อยรับแจ้งความ หรือบางทีก็รับแจ้งความแบบขอไปทีเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ  หรือบางกรณีแจ้งความไปก็บันทึกไว้แต่ไม่เห็นมีการดำเนินการหรือจัดการอะไรกับคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหา  ซึ่งเป็นเหมือนความอัดอั้นตันใจที่แกระบายให้ผมและเพื่อนฟัง

หลังจากฟังยายประนอมบ่นจนเหมือนจะพอใจ (หรือไม่ก็เหนื่อย 😄) จึงหยุดพักยก ก่อนจะปลีกตัวออกไป บอกว่าจะไปหาของกินเล่นมาให้เพิ่มเติม  วงสนทนาจึงเหลือผมนั่งคุยกับทนายเพื่อนยากถึงประเด็นเกี่ยวกับปัญหาหนึ่งที่ได้จากการบอกเล่า (บ่น) ของยายประนอม  คือ เรื่องการไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ซึ่งได้ยินประชาชนหลายคนบ่นว่า ไปแจ้งความแล้วเหมือนไม่ได้ความ  ว่าจะมีวิธีจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

Advertisement

Advertisement

ทนายดำยิ้ม (อีกแล้ว) ขยับตัววางท่าเป็นผู้ทรงภูมิรู้ขึ้นมาตามเคย  ก่อนจะเอ่ยขึ้นในลักษณะเหมือนวิเคราะห์ปัญหา

ตำรวจ/ภาพโดย geralt จาก pixabay/

"ปัญหาเรื่องการไปแจ้งความกับตำรวจ แล้วคนที่แจ้งรู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจนี่นะ  ถ้ามองอย่างเป็นกลาง  โดยไม่ได้เข้าข้างใคร และยังไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทำงานของตำรวจเค้าเนี่ย  บางทีคนที่ไปแจ้งความ ก็ต้องดูด้วยว่า การที่เราไปแจ้งความเนี่ย มันอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ในการที่ตำรวจเขาจะรับแจ้งหรือดำเนินการให้ได้มากน้อยแค่ไหนด้วยนะเว้ย...เพราะถ้ามันไม่เป็นไปหลักเกณฑ์หรืออยู่ในขอบเขตที่เขาจะรับแจ้งหรือดำเนินการให้ได้ เราก็คงไปโทษตำรวจเขาฝ่ายเดียวไม่ได้นะถ้าเขาไม่สามารถรับแจ้งความหรือดำเนินคดีตามที่เราต้องการได้อ่ะเพื่อน..."

การติดต่อกับตำรวจ/ภาพโดย www_slon_pics จาก pixabay/

Advertisement

Advertisement

"แล้วจะดูยังไงหล่ะ ว่าไอ้การที่เราจะไปแจ้งความเนี่ย  ตำรวจเค้าจะรับแจ้งหรือดำเนินคดีให้ได้มากน้อยแค่ไหน ยังไงอ่ะ" ผมถามโดยเจตนาเปิดช่องให้ทนายเพื่อนเก่าที่กำลังจะแก่ได้แสดงภูมิรู้อีกครั้ง

และก็เป็นไปตามที่คาด เมื่อสีหน้าของทนายดำฉายแววแห่งความกระหยิ่มยิ้มย่องและความภูมิอกภูมิใจ  ก่อนจะเริ่มอธิบาย

"กูยกข้อพิจารณาให้ฟังแบบสรุป ๆ ละกันนะ  ว่า การที่จะไปแจ้งความได้เนี่ย มันมีหลักเกณฑ์สำคัญอะไรบ้าง..."

"อย่างแรกเลย เรื่องที่แจ้งความเนี่ยมันจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำผิด ที่เรียกว่าเป็นความผิดอาญา

คนร้าย ทำผิดอาญา/ภาพโดย mohammed_hassan จาก Pixabay/

ก็คือความผิดที่คนทำจะต้องรับโทษ หลัก ๆ ก็โทษจำคุกหรือโทษปรับ เช่น ลักขโมย ทำร้ายร่างกาย ดูหมิ่น ด่าทอ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้ามีอำนาจสืบสวนสอบสวนเฉพาะในคดีอาญา(1)  ซึ่งการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเนี่ยก็จะนำไปสู่การดำเนินคดีอาญา โดยอาจจะเปรียบเทียบปรับตามอำนาจหน้าที่ของตำรวจที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่  หรืออาจจะส่งต่อให้อัยการยื่นฟ้อง ดำเนินคดีในชั้นศาล  แต่ถ้ามันไม่ใช่คดีอาญา เช่น เป็นเรื่องคดีแพ่ง คือ พวกเรียกร้องค่าเสียหายอะไรพวกนี้ ตำรวจเค้าไม่มีอำนาจรับแจ้งความหรือสืบสวนสอบสวนให้ ต้องไปหาทนายฟ้องเป็นคดแพ่งเอา.... "

"อย่างที่สอง เรื่องที่ไปแจ้งความเนี่ย มันจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดในท้องที่ของสถานีตำรวจที่ไปแจ้งด้วย

ตำรวจ สืบสวนหาคนร้าย/ภาพโดย mohammed_hassan จาก Pixabay/

เพราะเวลามีการสอบสวนในเรื่องนั้น ๆ ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนเค้าจะมีขอบเขตอำนาจหน้าที่สอบสวน ที่กฎหมาย ใช้คำว่า มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่า ได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตน(2)  หรือถ้าเรื่องมันเกิดขึ้นหลาย ๆ ท้องที่เกี่ยวพันกัน  ก็ต้องมีอำนาจในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งในบรรดาท้องที่ที่เกี่ยวพันกันนั้นด้วย(3) สรุปก็คือ ต้องแจ้งตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ"


"อย่างที่สาม คนที่ไปแจ้งความเนี่ย ต้องเป็นผู้เสียหาย

ก็คือคนที่ได้รับผลจากการทำผิด(4) เช่น คนที่โดนทำร้าย  คนที่โดนลักทรัพย์ คนที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท อย่างนี้เป็นต้น  รวมถึงบางกรณีอาจให้คนที่มีอำนาจจัดการแทน เช่น กรณีผู้เสียหายตายหรือบาดเจ็บจนจัดการเองไม่ได้ พ่อแม่ลู
กเมียก็จัดการแจ้งความแทนได้(5)  อย่างนี้ถึงจะแจ้งความเพื่อขอให้เอาผิดหรือเอาเรื่องเอาราวกับคนทำ คือเอาตัวมาลงโทษได้  ภาษากฎหมายเรียกว่าเป็นการร้องทุกข์(6)  แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เสียหาย อาจทำได้เพียงการกล่าวโทษ  คือ บอกว่ามีคนทำผิดแบบนั้นแบบนี้ (7) แล้วให้ตำรวจเค้าไปสืบสวนตามอำนาจหน้าที่เอา "

เหยื่อ/ภาพโดย geralt จาก pixabay/

"อย่างที่สี่ ก็ต่อเนื่องมาจากเมื่อตะกี้ที่บอกว่า คนที่เป็นผู้เสียหายเท่านั้นจึงจะมีสิทธิร้องทุกข์  คือ กล่าวหาคนที่ทำผิด ว่าทำให้ตนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย(8) และต้องการให้เอาตัวคนทำผิดมารับโทษ

อันนี้ต้องระบุให้ชัดเจนนะ ว่าต้องการให้เอาตัวคนผิดมารับโทษ ก็คือการแสดงความประสงค์จะดำเนินคดีนั่นเอง

หากไม่แจ้งให้ชัดเจน มันก็จะเป็นการไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น  ไม่ต่างจากการกล่าวโทษธรรมดา ๆ ที่ใครก็กล่าวโทษได้  และเมื่อไม่มีการร้องทุกข์ ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจสอบสวนได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ในคดีความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนได้ต้องมีการร้องทุกข์ที่ถูกต้องตามกฎหมายซะก่อน(9)"

"โห...คุยกับมึงเนี่ยได้ความรู้ทุกรอบเลยนะ" ผมป้อนลูกยอด้วยความรู้อุปนิสัยใจคอของเพื่อน

และเหมือนเพื่อนก็จะรู้ทันเมื่อเห็นผมหยิบสมุดบันทึกและปากกาขึ้นมาจดประเด็นที่เขาพูดให้ฟัง  เพราะเขาเอ่ยดักคอขึ้นว่า

"แล้วนี่มึงจะเอาเรื่องที่กูพูดไปเขียนเป็นบทความส่งทรูไอดีอินเทรนด์อะไรนั่นของมึงอีกใช่มั้ยเนี่ย"

ผมยิ้มเขิน ๆ แล้วเอ่ยเลียบเคียงถามหยั่งเชิง "แล้วมึงว่าไง  กูน่าจะเอาไปเขียนได้มะ เดี๋ยวกูให้เครดิตมึงด้วย ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์นะ..."

ทนายดำหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "เอาไปเขียนเหอะกูไม่หวง กูก็ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และคงไม่ได้หาอ่านได้จากบทความทั่วๆไปหรอก ที่เหลือคือหน้าที่มึงแล้วหล่ะ ที่จะเขียนตามสไตล์ของมึงให้โดดเด่น เป็นที่น่าสนใจและดึงดูดคนอ่านตามคอนเซ็ปต์ของเว็บไซต์เขาละกัน ไม่งั้นโดน บก.ปฏิเสธแล้วจะมานั่งหงุดหงิด โทษกูไม่ได้นะโว้ย!! "

แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน  ในขณะที่ผมแอบนึกด่ามันในใจ ว่ามึงบังอาจมากที่เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น!!

อ้างอิง
(1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 - 21/1

(2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18

(3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19

(4) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(4)

(5) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5

(6) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7)

(7) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(8)

(8) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7)

(9) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา121 วรรคสอง

ภาพปกบทความโดย www_slon_pics จาก pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์