Anusorn Ninuan /เรื่อง-ภาพ ------------------------------------------------------------------------------- ร่มเงามะขามชรา ยังคงแผ่ใบโดดเด่นตระหง่าน เสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้ผู้คน ได้หยุดพัก หลบแดดเพียงผ่อนคลายใกล้อาคารละหมาด (กิจศาสนาอิสลาม) ของโรงเรียนเทศบาล ๑ บ้านจะบังติกอ ที่ตั้งอยู่ริมกำแพงวังเก่าจะบังติกอ จากคำบอกเล่าของอาจารย์ชัยยศ ชูชื่น ครูอาวุโสของโรงเรียนแห่งนี้ บอกว่าต้นมะขามต้นนี้สันนิษฐานว่าน่าจะปลูกขึ้นในสมัยที่ราชวังจะบังติกอ ยังรุ่งเรืองในสมัยนั้น และต้นมะขามต้นนี้ยังมีคุณประโยชน์ต่อคณะครูและนักเรียนของโรงเรียนมาอย่างยาวนาน หากใครได้ไปเยี่ยมเยือนปัตตานี เพื่อย้อนรอยเวลาบางประวัติศาสตร์ของคุณค่าเมือง จะขอแนะแนะอีกสถานที่ที่น่าสนใจ นั่นคือรอยซากปุราณกำแพงราชวังเก่าจะบังติกอ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ตำนานยังถูกกล่าวขานมาว่า อดีตนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการทรงโปรดเกล้าฯให้ “ตนกู มูฮำหมัด” ซึ่งสืบเชื้อสายราชวงศ์กลันตัน มาเป็น “เจ้าเมืองปัตตานี” บนเนื้อที่ 7 ไร่ โดยสถาปนิกที่เป็นชาวจีน รายรอบราชวัง จะเป็นกำแพงทึบแบบก่ออิฐถือปูน ส่วนวังด้านในจะสร้างเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ มีหลังคาทรงปั้นหยา ภายในอาคารจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูง ประมาณ 1 เมตรด้วยไม้ ในอาคารจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ เป็นที่ทรงงานของเจ้าเมือง ด้านฟากด้านหลังนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัยของภริยาและเหล่าบริวาร ตำนานยังเล่าราวเรื่องอีกว่า ราชวังจะบังติกอ เป็นศูนย์กลางการปกครอง ในท้องถิ่นของหัวเมือง และทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดา “เจ้าเมืองปัตตานี” หรือ “รายอ” ต่อๆมาอีกด้วย เป็นต้นว่า ตนกูปูเต๊ะ (บุตรชายคนโตของ ตนกู มูฮำหมัด) ครั้นเมื่อตนกูปูเต๊ะ ถึงแก่กรรม บุตรก็ได้เป็นเจ้าเมือง จนกระทั่งถึงยุคสุดท้าย ก็มี ตนกูอับดุลกอเดร์ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองปัตตานี แห่งราชวังจะบังติกอ เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯให้ปฏิรูประบบการปกครองของประเทศ จึงได้มีการยุบหัวเมืองต่างๆ เพื่อรวมเป็น “มณฑลปัตตานี” ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองปัตตานี ยะหริ่ง ยะลา รามันห์ สายบุรี ระแงะ และ หนองจิก กระทั่งต่อมา “ราชวังหรือวัง” ที่เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของหัวเมือง ก็เปลี่ยนสภาพเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาบุตรหลาน เครือญาติ สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน แม้กระทั่งวังเก่าจะบังติกอ ก็เช่นเดียวกัน แผ่นอิฐถูกฉาบปูนที่ผ่านกาลเวลาของกำแพงวังเก่า ตรึงตระหง่าน เบื้องหน้าโรงเรียนเทศบาล ๑ บ้านจะบังติกอ แบ่งกั้นรอยต่อกันด้วยถนนหน้าวัง หรืออีกนัยหนึ่ง คือถนนราชดำเนินแห่งปัตตานี นั่นเอง จึงเชื่อเหลือเกินว่า ทุกแผ่นอิฐที่ร้อยรัดรึง ตรึงตัวผ่านกาลเวลาย่อมซ่อนนัยยะคุณค่าตำนานเมืองได้เป็นอย่างดี ณ ปีนี้ การเคลื่อนตัวของเวลาผ่านมาสู่ยุคศักราช 2562 เพราะหากย้อนไปตามตำนานเล่าขานการสร้างราชวังจะบังติกอแห่งนี้ ถูกระบุบ่งบอกว่ามีอายุช่วงระหว่าง ราว พ.ศ.2388 -2399 ก็เท่ากับเคลื่อนผ่านมาเกือบสองศตวรรษ ทุกวันนี้ ความคุ้นชินกรุ่นกลิ่นยาวีปัตตานี ละแวกรายรอบวังเก่าจะบังติกอ จะยังคงอุ่นอวลด้วยความเป็นมลายู ไม่ว่าจะวิถีง่ายงามของชาวบ้าน การแต่งกาย ขนม อาหารพื้นเมือง บ่อยครั้งหากใครขับรถตระเวนผ่านละแวกวังเก่าจะบังติกอ ก็จะเจอกับสัตว์น้อยแสนคุ้นชิน ที่เรียกว่า “ แพะและแกะ” ที่แทะเล็มหญ้ารายรอบกำแพงวัง จนกลายเป็นความงดงามวิถีพื้นถิ่นแห่งนี้ดีทีเดียว หากใครมีโอกาสมาเยือนถิ่นแผ่นดินปัตตานี คิดว่ารอยแห่งกาลเวลากำแพงเก่าวังจะบังติกอ พร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับอาคันตุกะทุกท่าน กับแผ่นดินแห่งสันติภาพแผ่นดินแห่งหาดทรายแห่งนี้ “ปัตตานี” และราชวังเก่าจะบังติกอ หรือ “จาแบ ติฆอ” ในภาษาถิ่นยาวีแห่งนี้