ชีวิตปี 4 เทอม 1 คงพูดได้เต็มปากว่าเป็นช่วงสุดท้ายในรั้วมหาลัยที่จะได้เป็นนักศึกษา นั่งเรียนในห้องเรียน จดเลคเชอร์ รวมถึงพูดคุยพบปะกับครูอาจารย์และเพื่อน ๆ ก่อนที่ในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้เราต่างก็จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองเป็นนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพที่บางคนอาจจะต้องฉายเดี่ยวซึ่งนั้นก็หมายถึงฉันเองนี้แหละ แต่ก็มีบางคนที่เลือกไปเป็นคู่ดูโอ้กัน ก็แล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละคนละนะ ชีวิตช่วงนี้ยอมรับว่ายุ่งและวุ่นวายมาก ในระหว่างที่กำลังรอเข้าเรียนวิชาประจำสาขาอยู่นั้นเพื่อนคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา "ไปเที่ยวเบตงกัน" พลางพูดรูปแบบทริปให้ฟัง เหมือนเป็นการซื้อทัวร์เที่ยวอย่างไรอย่างนั้นเลย มากกว่าครึ่งหนึ่งในสาขาคือยังไม่เคยไปเที่ยวเบตงเลย เอาจริง ๆ ฉันก็เป็นเด็กสามจังหวัดชายแดนใต้คนหนึ่งนะ แต่ฉันเองก็แทบจะไม่เคยไปเที่ยวไหนเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้าน บางทีก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะจริง ๆ แล้ว สามจังหวัดเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ เยอะมาก แต่ด้วยข่าวสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ผู้คนไม่ค่อยกล้าที่จะเข้ามาสัมผัส ฉันในฐานะหนึ่งในเจ้าบ้านจะทำให้เพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดสัมผัสได้ถึงความหอมหวานของดินแดนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นพื้นที่ของความรุนแรง และฉันจะเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ทุกคนมองเห็นถึงความอ่อนโยนที่อยู่ภายใต้เสียงระเบิดในข่าวที่ฉายออกอากาศแทบทุกวัน ใครเคยไปแนะนำหน่อยว่าสามารถไปเที่ยวไหนได้บ้าง? หรือต้องทำไงบ้าง? เสียงหวานของเพื่อนต่างจังหวัดดังขึ้น ไม่นานเจ้าถิ่นจอมเที่ยวที่นั่งอยู่ก็อธิบายแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเบตงตามที่เธอเคยไปแบบคราว ๆ ก่อนจะมีเพื่อนอีกคนได้เล่าถึงเบตงความมุมมองของตัวเองที่เธอเคยไปสัมผัสเมื่อหลายปีก่อน และก็มีเสียงหนุ่มจากเพื่อนร่วมสาขาที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากเบตงได้ไม่นานก็ได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้พวกเราฟัง คนที่เหลือที่ยังไม่เคยไปสัมผัสก็ได้แต่จิตนาการว่าเบตงตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เมื่อคุยกันไปได้สักพักก็ตัดสินใจตั้งวันเดินทาง วางแผนการเดินทาง ติดต่อรถ ติดต่อที่พัก เสนอเมนูที่อยากกิน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราต้องลงมือทำกันเองอยู่แล้ว ทริปนี้ประหยัด ๆ นะ เพราะเทอม 2 ต้องจ่ายอีกเยอะเลยย เผลออีกที่พวกเราก็มานั่งอยู่ในรถ 2 แถวที่ถูกเหมาเพื่อเดินทางผ่านทางคดเคี้ยวของหุบเขาไปยังเมืองใจกลางป่า นี้ถือเป็นทริปกระทันหันมาก ๆ มากจนแอบตกใจว่าตอนนี้เรากำลังเดินทางอยู่จริง ๆ หรือเราแค่กำลังฝันได้กันแน่ แต่เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม สายตา ของทุกคนบนรถทำให้ฉันแน่ใจว่านี้คือความจริง ความจริงที่ไม่มีอะไรโต้เถียงว่าพวกเราทั้ง 16 คนรวมกับอาจารย์อีก 1 คน กำลังเดินทางสู่ดินแดนอันไกลโพ้น ที่ซ่อนตัวเองไว้กลางหุบเขาลึก พวกเราค่อย ๆ ร่ำลาความเป็นเมืองและเอ่ยทักทายกับธรรมชาติที่ค่อย ๆ โอบกอดเราหนาแน่นขึ้น อากาศเริ่มเย็นตัวลง วิวทิวทัศน์ที่แปลกตาบอกให้ฉันรู้ว่าตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตของเบตงแล้ว แต่แล้วความคิดของฉันก็พังโครมลงมาไม่เหลือซาก เมื่อเพื่อนผู้นำทางได้บอกว่าเราเพิ่งเดินทางไปได้แค่ 1 ใน 3 เอง ซึ่งความพีค โค้งพีค ทางชันๆ ยังมีรอเราอีกเยอะเลย ได้ยินแล้วก็ถอนหายในยาวเลยไม่คิดว่ามันจะไกลแสนไกลเช่นนี้ แต่ด้วยบรรยากาศข้างทางที่ค่อนข้างดีฉันเลยบอกใจให้เลิกบ่นแล้วหันมาชื่นชมบรรยากาศดีกว่า กลับไปบ่นที่บ้านก็ได้แต่บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เลยนะ และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเที่ยวที่นี่ได้ตอนไหนอีก เกมแล้ว เกมเล่า เรื่องแล้ว เรื่องเล่า ถูกจัดการโดยพวกเราที่กำลังโยกตัวไปตามรถที่โค้งไปโค้งมาตามทางอีกที คิดแล้วก็สนุกเหมือนกันเลยนะฉันไม่เคยได้ลองทำแบบนี้เลย การนั่งรถฝ่าโค้ง ฝ่าเขา ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ฉันดีใจมาก ๆ ที่ตัวเองได้มีโอกาศ หลังจากเดินทางมาไกลแสนไกลผ่านป่า ผ่านเขามานั้นพี่คนขับรถกับเพื่อนนำทางก็พาเราทุกคนมาถึงที่พัก ที่เป็นบ้าน 2 ชั้นหนึ่งหลังให้เราได้ครอบครองในสองคืนนี้ ด้านบนเป็นที่สำหรับผู้หญิง ส่วนผู้ชายที่มีอยู่ 2 คน รวมอาจารย์ 1 คน รวมพี่คนขับอีก 1 คน ก็เท่ากับ 4 คน พวกเขาจึงเสียสละเบาะนุ่ม ๆ ให่เราพวกที่เป็นผู้หญิงผู้บอบบาง และให้ตัวเองนอนที่ห้องรับแขกแทน "ทริปแห่งการเสียสละ" หลังจากมาถึงบ้านได้ไม่นานฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่เกรงใจการเดินทางที่แสนยากลำบากของเราเลย ทุกคนนั่งคอตกเพราะกลัวว่าจะจบทริปด้วยการนอนเล่นอยู่ที่พัก แต่ละคนก็นอนพักรออย่างมีความหวังว่าอีกไม่นานฝนคงหยุดตกแล้วละ มันแค่ตกลงมาทักทายพวกเราผู้มาเยือนใหม่ก็แค่นั้นเอง และแล้วฝนก็เป็นใจมันหยุดเงียบพร้อม ๆ กับรอยยิ้มของพวกเราทุกคนที่ผุดขึ้นมาแทนที่สีหน้าบูดบึ้ง ไม่รอช้าต่างก็รีบวิ่งลงพร้อมเสบียงแล้วก็ตรงไปขึ้นรถที่พี่คนขับนั่งรออยู่ข้างในแล้ว บรื๊นนนนนนนนน บรื๊นนนนนนนนนน ไปกันเถอะ ขอบคุณฝนนะที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ช่วยให้บรรยากาศของเมืองเบตงดีขึ้นเยอะเลย อากาศเย็นสบาย ลมพัดเย็นกระทบผิว หมอกลงจาง ๆ พอให้เห็นเป็นบุญตา ยอมรับเลยว่าทริปนี้ดีมากดีจนอยากให้มันมีเวลายาว ๆ ยาวพอที่เราทุกคนจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันกับภาพบรรยากาศที่แสนสดใสนี้ ภาพสวยงามตรงหน้าถูกพวกเราทุกคนค่อยกดชัตเตอร์และนั่งมองชื่อนชมความวิเศษนี้แบบไม่ละสายตากันเลยที่เดียว การเดินทางในครั้งนี้พาเราทุกคนมาเจอกับสิ่งใหม่ที่เราก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดี จะสวยขนาดนี้ แค่อยากหาสถาที่ที่ทุกคนสามารถใช้ช่วงเวลาอยู่ด้วยกันนาน และเต็มที่ที่สุดก่อนที่เราทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เบตงในมุมของคนอื่นจะเป็นแบบไหนฉันไม่รู้นะ แต่เบตงในมุมองของฉันช่างเป็นเมืองที่สวยงามมาก มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้รับการโอบกอดมันไม่ใช่แค่สวยงามแต่มันทำให้ผู้มาเยือนอย่างฉันรู้สึกอบอุ่นและอยากเก็บเกี่ยวภาพความทรงจำของเมืองนี้ให้ได้มากที่สุด กับเพื่อนคนที่เราฟันฝ่าความลำบากตลอด 3 ปีครึ่งมาด้วยกัน จากคนไม่คุยกันในวันนั้นสู่การหยอกล้อกันได้ในวันนี้ จากคนขี้อายในวันนั้นสู่การกล้าลุยในวันนี้ จากคนที่อ่อนแอในวันนั้นสู่ความเข็มแข็งในวันนี้ ถ้ามองทริปนี้มันอาจจะเป็นการออกมาเที่ยววันหยุดธรรมดา ๆ ที่ไม่ต่างจากที่หลาย ๆ คนเขาทำกัน แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่เลยสักนิด เพราะมันมีค่า มีค่ามากพอให้ฉันรู้สึกอยากจดจำมันไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นเบตงในมุมมองของฉันไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวที่จะไปเยือนแล้วก็ร่ำลาไป แต่มันคือเมืองที่เป็นไปดด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติและอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น หากมีโอกาสฉันก็วาดฝันว่าตัวเองจะเดินทางกลับไปสัมผัสบรรยากาศนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าฉันจะไปถึงวันนั้นเมื่อไรก็ตาม #เครดิตภาพทั้งหมดเป็นภาพที่ผู้เขียนถ่ายเองจากสถานที่จริง