สาวใต้ชวนกรีดยางพารา ไปดูกันนะสวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารักทุก ๆ ท่าน บทความนี้นักเขียนในฐานะสาวใต้เลือดเนื้อเชื้อสายลูกชาวสวนยางพาราในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จะนำคุณผู้อ่านทุก ๆ ท่านไปชมวิถีชีวิตและวิธีการกรีดยางของชาวสวนยางพารากันนะคะ ซึ่งในช่วงนี้ก็จะเริ่มมีการเปิดกรีดหน้ายางพารากันอีกครั้ง หลังจากใกล้จะผ่านพ้นช่วงฤดูร้อนของทุกปีซึ่งจะเป็นช่วงปิดพักการกรีดยางเพื่อพักต้นยางพารากันค่ะ ด้วยช่วงนี้เริ่มมีฝนตกกันแล้วในหลายจังหวัดของภาคใต้ต้นไม้ใบหญ้าก็จะเริ่มชุ่มฉ่ำแตกใบกันเขียวขจี เช่นเดียวกับต้นยางพาราต้นโต ๆ ที่มีอยู่แทบทุกพื้นที่ของจังหวัดในภาคใต้ก็ผลัดใบใหม่จนใบเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มเต็มทั้งต้น นับเป็นสัญญาณของการพร้อมเริ่มฤดูกาลกรีดยางของชาวใต้อีกครั้งเมื่อช่วงสาย ๆ ของวันหยุดที่ผ่านมา คุณพ่อของนักเขียนเองก็จัดแจงดูฤกษ์งามยามดีเพื่อเตรียมจะเปิดฤดูกาลกรีดยางของปีนี้อีกครั้ง ซึ่งการดูฤกษ์ยามนั้นคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า เป็นการทำที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษที่ให้เลือกวันเลือกเวลาที่เหมาะให้เป็นวันดีเพื่อเริ่มทำงานไปทั้งปีอย่างราบรื่น เมื่อได้ฤกษ์ดีก็ต้องมีอุปกรณ์กรีดยางที่ดีด้วย นั่นก็คือ มีดกรีดยางนั่นเองค่ะ รูปร่างหน้าตาอาจจะแปลกตาไปสักหน่อยสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับนักเขียนนั้นจำความได้ก็เห็นพ่อนั่งลับมีดและใช้มีดกรีดยางหน้าตาแบบนี้กรีดยางหาเลี้ยงครอบครัวมาจนชินตา ขอเตือนไว้ก่อนนะคะว่า มีดกรีดยางนี้คมมาก ๆ ค่ะ หากโดนบาดเข้าไปรับรองว่าแผลจะลึกสุด ๆ คุณพ่อเลยไม่ค่อยให้ใครเอามาเล่นเลยค่ะ โดยเฉพาะเด็ก ๆสำหรับการกรีดยางนั้น จะเป็นการกรีดลงไปในส่วนของเปลือกต้นยางพาราค่ะ กรีดเปลือกออกมาบาง ๆ เป็นชั้น ๆ ให้มีลักษณะเฉียงบนลำต้นเพื่อให้น้ำยางสามารถไหลลงมาด้านล่างได้นั่นเอง แต่ต้องระวังนะคะจะต้องกรีดไม่ให้ทะลุไปจนถึงแกนเนื้อไม้ของลำต้น เพราะจะไม่มีน้ำยางไหลออกมา เมื่อกรีดแล้วก็จะมีน้ำยางพาราไหลออกมาตามแนวรอยที่กรีด และไหลลงสู่ถ้วยรับน้ำยางหรือ ภาษาใต้เรียกว่า จอกยาง น้ำยางจากต้นยางพาราก็จะค่อย ๆ ไหลอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายชั่วโมงจนกว่าจะหยุดไปเองและเมื่อน้ำยางจากต้นยางพาราหยุดไหลแล้ว ชาวสวนก็จะทำการเก็บน้ำยางพาราที่ได้ โดยเทออกจากจอกใส่รวมกันในถังขนาดใหญ่ น้ำยางพาราที่ได้มานั้นจะมีสีขาวข้น สีขาวเหมือนกระดาษเลยค่ะ คล้ายนมจืดแต่จะข้นกว่ามาก โดยน้ำยางพาราที่ได้ก็จะสามารถนำไปจำหน่ายและแปรรูปได้หลายแบบค่ะ แบบแรกนำไปขายเป็นน้ำยางสด ๆ ให้กับร้านที่รับซื้อวิธีนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมค่ะ เพราะว่าเหนื่อยน้อยที่สุดขั้นตอนน้อยที่สุดเพียงแต่กรีด เก็บและขายก็เป็นอันเสร็จงานสำหรับวันนั้นแบบที่สองนำไปทำเป็นยางพาราแผ่นแล้วตากแห้งเพื่อนำไปขาย วิธีนี้จะค่อนข้างเหนื่อยและใช้เวลามากกว่าวิธีแรกมาก เพราะต้องเอาน้ำยางที่ได้มาผสมกับสารเคมีเพื่อให้ยางคงตัวเป็นก้อน จากนั้นรีดให้เป็นแผ่นก่อนจะนำไปตากให้แห้งเพื่อนำไปขาย แต่จะมีข้อดีกว่าวิธีแรกคือราคาขายจะแพงกว่าประมาณ 20-30 บาทต่อกิโลกรัมหรืออีกแบบคือ การทำยางก้อน ขี้ยางหรือเศษยาง ที่เป็นการกรีดยางแล้วทิ้งน้ำยางไว้ในถ้วยยางที่ต้นจนเต็มก่อนจะเก็บไปขาย วิธีนี้ก็เหนื่อยน้อยหน่อยค่ะ แค่กรีดแล้วรอให้น้ำยางเต็มถ้วยยางและรอเก็บไปขาย แต่ข้อเสียคือ ราคาต่อกิโลกรัมจะถูกกว่า 2 วิธีแรกมากและขี้ยางจะมีกลิ่นเหม็น ส่วนราคาขายแต่ละชนิดนั้นจะขึ้นลงตามกลไกของตลาดค่ะ จะไม่นิ่งหรือเป็นราคาที่คงที่ประมาณ 20 – 50 บาทต่อกิโลกรัมทั้งหมดนี้คือวิถีและวิธีดำเนินชีวิตของชาวสวนยางปักษ์ใต้ ที่ดำเนินสืบต่อกันมาหล่อเลี้ยงลูกหลานเลือดเนื้อชาวปักษ์ใต้มานานแสนนาน นักเขียนเองก็ซึมซับและผูกพันกับกลิ่นของน้ำยางพารา กับกิ่ง ก้าน ต้น ใบยางพารา จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้วภาพทั้งหมดโดยนักเขียน