ในชีวิตของเรานั้น เราชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจมาก็นับตั้งแต่เข้าสู่วงการ การท่องเที่ยว ซึ่งเราจะมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับการทำงานของคนเบื้องหลังการท่องเที่ยวในแต่ละฤดูกาลในบทถัดถัดไปการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของเราจะเป็นการวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย สามเดือนขึ้นไป จนถึง 1 ปี (เพราะต้องเตรียมเม็ดเงินที่ต้องใช้จ่าย) แต่ส่วนใหญ่ช่วงหลังๆ จะเป็นการเดินทางที่ แพลนไว้ต่ำกว่า 1 เดือน ซึ่งก็รวมถึงทริปที่จะเล่าต่อไปนี้ด้วยเช่นกัน"ทริปเขื่อนรัชประภา" เป็นทริปที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ การบินไทยสมาย และ แพ 500 ไร่ ซึ่งตอนนั้น เขาจัดโปร แพคเกจท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน เขื่อนเชียวหลาน คนละ 7,600 บาท รวมตั๋วไปกลับพร้อมอาหารทุกมื้อและรถรับส่ง พอเห็นดังนั้น ตาลุกแวววาว ขึ้นมาทันใด แต่ทว่า มีข้อแม้ว่า ต้องมีผู้ร่วมเดินทางตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ซึ่งตอนนั้นเรามีกันแค่ 2 คนกับเพื่อน (ทำงานที่เดียวกัน) และ โปรโมรชั่นกำลังจะหมดในวันนั้นก่อนเที่ยงคืน !!!! เราจึงใช้เวลาทั้งหมดทั้งมวลหลังเลิกงาน ในการตามหาเพื่อนร่วมทริปอีกสองคน ซึ่งในที่สุดก็หากันจนเจอและทำการจองเป็นที่เรียบร้อย โดยการเดินทางดังกล่าว มีหญิง 3 คน ชาย 1 คน. อ้อ ! เกือบจะลืมว่าทริปนี้เราไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วซึ่งเราบ่มเพาะ ทริปไว้เยอะ ๆจะได้เขียนทีเดียว ... ฮ่าฮ่าเริ่มต้นทริป เรากับเพื่อน เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป ลงที่ สนามบินสุราษฎร์ธานี มีรถตู้มารับเพื่อไปส่งที่ท่าเรือเทศบาล เพื่อจะมาขึ้นเรือไปแพ 500 ไร่ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกของพวกเรา พอมาถึงเขื่อนแค่นั้นแหละ โอ้วโหว!!! น้ำเขียวมรกตมาก เพราะด้านล่างเป็นหินปูน ตรงท่าเรือ มีน้ำขึ้นสูงเนื่องจากคืนก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก (เราไปช่วงหน้าฝนค่ะ...ลืมบอกไป) แต่ท่าตรงนี้เอาไว้สำหรับคนที่ลงเรือ (ขาออกมาจาก เขื่อนรัชชประภาเท่านั้นค่ะ) ส่วนเราและเพื่อนก็ขึ้นเรือได้จากริมฝั่งเลย โดยใช้เรือหางยาว ซึ่งจำนวนคนรอบนั้นราวๆ 10 คน .... ในการเดินครั้งนี้ เราเกือบพลาดเรือไปค่ะ เพราะมัวแต่ ถ่ายรูปและตะลึงกับความสวยของน้ำในเขื่อนการเดินทางจากท่าเรือไปยังแพ 500 ไร่นั้น ใช้ระยะเวลาประมาณ ราว ๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งจะรวมแวะ ชม เขาสามเกลอ ซึ่งเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของการเที่ยวที่เขื่อนเชียวหลาน ...เราเป็นคนช้าในด้านความคิด ซึ่งพี่ไกด์(คนขับ)บอกว่านี่ไงๆ ...เราก็แบบ ไหนวะเออ 55555 ถ่ายรูปไว้ก่อนเป็นพอ แล้วค่อยกลับมาดู. อีกใจก็คือ "เรากลัวเรือกับน้ำ" แต่ชอบเที่ยวทะเล ดำน้ำตื้นดูปลานีโม แปลกไหมล่ะ! พอลุกขึ้นยืนบนเรือที่จะไปถ่ายรูปกับเขา เรากลับเวียนหัว ยืนไม่ติดเลย ต้องค่อยคลานไปหัวเรือ 5555 อย่างขำตัวเอง คนในเรือก็หัวเราะ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยประการนี้แลเอย มาถึงที่พักที่ 500 ไร่ เราก็ตะลึงกับความสวยงาม ของที่พัก คือ มองในภาพกับความจริงมันคนละอย่าง ความคิดในตอนนั้นของเราคือ กล้าเนอะ กับการสร้างที่พักลอยบนน้ำในเขื่อนที่ลึกเกินจะบรรยาย แล้วถ้ามีพายุเข้าหนักๆ จะทำยังไง เซเว่นก็ไม่มี บลาๆๆๆๆ บ่นไปเรื่อยเลยเรา ฮ่าๆ เรามาถึงที่พักก็บ่ายแก่ๆ แล้ว แดดร้อนมากกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว และด้วยความที่ที่พักสร้างบนน้ำ การใช้ไฟทั้งหมดจะทำการโดยใช้เครื่องปั่นไฟ เท่านั้น ซึ่งจะเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ยกเว้นพัดลม ได้ก็ตอนที่ หลัง หนึ่งทุ่มเป็นต้นไป ....... ณ ตอนนั้นความคิดของเราคือแบบ ร้อนรุ่มมาก พอเช็คอินเข้าห้อง ก็ไอของความร้อนปะทะที่หน้า ซึ่งตอนนั้น ทำได้แค่ เปิดพัดลม แต่พอเปิดประตูตรง Terrace ออก ให้ความเย็นจากน้ำในเขื่อนพัดเข้ามา ทำให้คลายความร้อนไปได้บ้างห้องพักที่เราจองไว้ จะมีสอง Type คือ Double & Twin Bedding ด้านล่างจะเป็นเตียงใหญ่ ด้านบน (เราเรียกว่าห้องใต้หลังคา) คือฟูก สองใบ (กับหมาเหงาสองตัว 5555). ห้องใต้หลังคานี่ไม่ต้องพูดถึงความเย็น เพราะไม่มีเลย เนื่องจากติดหลังคา ดังนั้นเราทำได้เพียงพัดโบก อยู่ด้านล่าง พร้อมกับพัดลม เบอร์ สาม พอแดดร่มลมตกสักพัก เพื่อนทั้งสามคนก็พากันออกไปพายคายัค ซึ่งแต่ละห้องพนักงานจะเตรียมไว้ให้สองลำ ส่วนเรานั้นทำได้แค่ถ่ายรูป ไม่สามารถลงไปพายแต่อย่างใดได้ ไม่อย่างนั้นความวิงเวียนจะกลับมา หลังจากเพื่อนๆ พายคายัควนรอบอ่าง ซึ่งไม่ได้ไกลกันมากเล้ยยยย ก็ไปหากิจกรรมกันต่อคือ การ ........ เล่นน้ำในสระ ที่ลอยกลางเขื่อน !!! ใช่ค่ะ ลอยกลางเขื่อน ประดุจเราว่ายน้ำในเขื่อนเลยอย่างนั้น ณ ตอนนั้นคนยังไม่ออกมาเล่นน้ำกันเยอะ มาก ทำให้เป็นช่วงเวลา Prime Time ของพวกเรา ประดุจเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว เล่นน้ำดำผุดดำว่ายสักพัก ก็ไปอาบน้ำ เพราะใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเย็น (เรื่องกินเราต้องเร็ว) เป็นอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ ยกเว้นเครื่องดื่มซึ่งต้องจ่ายเอง ราคาก็มากกว่าบนฝั่งแน่นอนอยู่แล้ว แต่ความพีคกว่านั้นก็คือ ตรงที่ห้องทานอาหารมี พื้นกระจก ไม่สิ ! มันคือพื้น ที่เปิดเว้นไว้ให้เราเห็นตัวปลา ให้เพลิดเพลิน ยามทานอาหารหรือเวลามาพักผ่อน เพลิ๊น เพลินวันต่อมาเป็นวันที่เราต้อง Check - Out ออกจากที่แพ แล้ว แต่มีกิจกรรมตอนเช้า ประมาณ หกโมง เพื่อไปดูนก กับทางที่พักจัดให้ ซึ่งเพื่อนเราทั้งสามคนไปกันหมด ยกเว้นเรา เนื่องจาก......ง่วงมาก ขี้เกียจออกไป เราจึงต้องนอนเฝ้าห้องซึ่งตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่คนเรือ ล่องเรือไปมาส่งอาหาร ทำให้มีคลื่นมากระทบกับบ้านที่ลอยกลางน้ำทำให้โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เราเวียนหัวมากกกกก เกือบจะอ้วก แต่นอนไปนอนมา กลับง่วง เหมือนโดนไกวเปล กล่อมนอน 555555 หลังจากรับประทานข้าวเที่ยง แล้ว เช็คเอ้าท์ เพื่อไปต่ออีกโรงแรมหนึ่งซึ่งเป็นในเครือของ แพห้าร้อยไร่ ห้องพักที่ได้เป็นห้องเตียงใหญ่ เท่านั้น (เหมาะแก่การมาฮันนีมูนมาก) วิวภูเขาหินปูน สวยและใหญ่ตระหง่านอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทั้งลมเย็นๆ เย็นกว่าที่เขื่อนอ่ะ คิดดู๊วววววที่พักที่นี่เงียบสงบมาก มาก มาก และมาก ที่สุด เหมาะแก่การมาพักผ่อนเงียบๆ เพื่อหา Inspiration ในการใช้ชีวิต ที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วยนะ แต่เราไม่ได้ถ่ายมา เพราะตอนไปเล่นไม่ได้เอากล้องไป สระว่ายน้ำไม่ได้ใหญ่มาก แต่ให้ความรู้สึก เหมือนว่ายน้ำท่ามกลางขุนเขาโอบล้อมพอถึงเวลาอาหารมื้อเย็นก็เป็นอาหารที่ธรรมดาๆ ที่เรากับเพื่อนๆ ฟาดเรียบไม่เหลือ เพราะความอร่อยที่พ่อครัวทำ หรือเป็นเพราะความหิวโหยของพวกเราก็มิอาจทราบได้ 5555 เช้าต่อมา ตื่นพร้อมรับวันใหม่ด้วยสายหมอกเย็นๆ จากฝนตกในตอนกลางคืน อากาศเย็น ๆ เหมาะแก่การนั่งจิบกาแฟ ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา และวันต่อๆ ไป ในห้วงเวลานั้น และในขณะเดียวกันก็ถึงเวลาต้องโบกมือลา สุราษฎร์ฯ แล้ว แต่ก่อนจะกลับ ช่วงเช้าพวกเราว่างมาก กว่าที่รถจะมารับไปสนามบิน จึงทำการซื้อทัวร์ล่องคายัคในแม่น้ำเขาสก ซึ่ง สบายใจได้มีคนพายให้ แล้วเราก็ไป!! แม่น้ำตอนนั้นสีจะไปทาง ขุ่นแล้ว ก็เพราะ ช่วงนั้นมีฝนตก พร้อมมีร่องรอยของน้ำป่าเกิดขึ้น แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ ส่วนเรื่องราคานั้น สามารถสอบถามได้โดยตรงกับทางที่พักไปเล้ย หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าเสร็จสรรพ รถตู้ก็มารับเพื่อยังจุดรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งก็อีกนั่นแหละ มัวแต่ถ่ายรูปวิว รูปปู ดื่มด่ำกับบรรยากาศจนลืมเก็บภาพอาหาร (อีกแล้วครับท่าน) หลังจากอิ่มหนำสำราญ รถตู้ก็พาเราไปยังร้านขายของฝาก ซึ่งเราจะขาดไปไม่ได้ก็คือ "ไข่เค็มไชยา" ของดีเมืองสุราษฎร์ แล้วด้วยความที่เราไม่ได้อ่าน เพราะเป็นคนไม่ได้ละเอียดละออ มัวแต่งกๆ เงิ่นๆ ในการเลือกดู และ ลืมคิดไปว่า ไข่เค็มของที่นี่มีสองแบบ คือ ต้มแล้วกับเอาไปต้มเอง ซึ่งที่เราซื้อมานั้นเป็นแบบที่ เอาไปต้มเอง !!! ทำให้เราไม่ได้ระมัดระวังในการถือ การโยน เพราะเราเข้าใจว่าไข่มันสุกแล้ว !!!!!!! พอถึงบ้านเท่านั้นแหละ ....... เละ!! เหลือแค่ ไข่เค็มใบเดียวที่ยัง Survival มาให้เราได้ต้มชิม 5555555555 สงสารและอนาถตัวเองเป็นที่สุดหลังจากแวะซื้อของฝากอย่างหนำใจ ทางรีสอร์ทก็พามาแวะจุดสุดท้ายคือ วัดพระบรมธาตุไชยา และ สวนโมกข์ หรือชื่อเต็ม "สวนโมกขพลาราม" แดนธรรมแห่งนี้ก่อตั้งโดยท่านพุทธทาสภิกขุในปี พ.ศ. 2475 เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและจรรโลงพระพุทธศาสนา (ข้อมูลจาก ปภ.นำเที่ยว) หลังจากนั้นถึงเวลาที่จะต้องโบกมือลา เมืองสุราษฎร์ เพื่อกลับไป ท่องโลกแห่งความเป็นจริงในการทำงาน ไปเผชิญสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วยสติและจิตใจที่เข้มแข็งต่อไป พบกันใหม่ในเรื่องราวในมุมต่างๆ ของ ..... "หลืบเล่า" ถ่ายภาพโดย: หลืบเล่าและผองเพื่อน