ตั้งแต่การประกาศเรียกชื่อกีฬาจาก Thai Boxing ให้เป็น มวยไทย ตามแบบที่คนไทยเรียกกัน วิชานี้ก็แพร่ขยายไปในวงกว้างและเป็นที่รู้จัก มีคนเข้ามาเรียนจากทั่วโลก ผลพลอยที่เกิดขึ้นอีกอย่างก็คือภาพลักษณ์ของมวยไทย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภาพของคนจน มัดกล้ามแน่น ๆ เอากายเข้าแลกประทะกับคู่ชกจนเลือดอาบ กลายเป็นวิชาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย ทั้งคนหนุ่มสาว รวมถึงดารานักแสดงก็หันมาเล่นกัน จนสร้างรายได้มหาศาลกับยิมมวยไทย ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนชื่อด้วยหรือไม่ เมื่อได้ลองค้นหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก็จะพบว่ามวยไทยในอดีต ก็เป็นวิชาที่เข้าถึงยากมาแต่ปางก่อน หากต้องย้อนไปหลายร้อยปี มวยไทยก็เป็นวิชาที่เล่นกันเฉพาะกลุ่มทหารและในวังเป็นส่วนใหญ่ แต่คนทั่วไปที่ฝึกก็มี แต่ก็เป็นการฝึกเพื่อเตรียมเข้าเป็นทหาร โดยฝึกตามลานวัด อีกทั้งมีพระภิกษุเป็นผู้สอน และในยุคกรุศรีอยุธยา ก็มีการตั้งกรมทนายเลือก เพื่อคัดคนที่เก่งวิชานี้เข้าไปเป็นทหาร จนกระทั่งมาถึงยุครัตนโกสินทร์ วิชามวยไทยก็พัฒนาและสร้างกติกาให้เป็นกีฬาได้ ภาพ พระยาวจีสัตยารักษ์ เจ้าเมืองไชยา แต่จากข้อมูลที่ได้มาจาก ณปภพ ประมวญ หรือที่รู้จักในชื่อ ครูแปรง แห่งสำนักสยามยุทธ์ ก็ได้เล่าถึงรายละเอียดว่าก่อนจะเป็นมวยไทยที่ใช้เล่นกีฬานั้น ก็มีการรักษาวิชาดั้งเดิมไว้ ซึ่งในยุครัชกาลที่สาม หัวหน้ากรมทนายเลือกชื่อ พ่อท่านมา ได้หลบหนีไปอยู่ที่เมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่มีใครทราบว่าท่านมีชื่อจริงว่าอะไร และหนีไปเพราะอะไร เรื่องราวที่มีเพียงแค่ว่าท่านเป็นครูมวยใหญ่จากพระนคร บ้างก็ว่าท่านเป็น ขุนศึก แม่ทัพใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งท่านได้บวชเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดทุ่งจับช้าง และได้สอนวิชามวยไทยให้กับชาวไชยา จนเป็นที่เลื่องลือว่าเมืองไชยาคือเมืองนักมวย และนักมวยที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น ก็คือ พระยาวจีสัตยารักษ์ เจ้าเมืองไชยาในขณะนั้น จนกระทั่งถึงยุครัชกาลที่ห้า ก็มีงานมหรสพในพระนคร มวยก็ถือเป็นอีกงานหนี่งที่มีการจัด โดยพระยาวจีสัตยารักษ์ ก็ได้ส่งนักมวยของไชยานาม ปล่อง จำนงค์ทอง ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านไปชกต่อหน้าพระที่นั่ง และสามารถชนะได้ ผลจากการชนะของนายปล่องครั้งนั้น ได้รับการโปรดเกล้าขึ้นเป็น หมื่นมวยมีชื่อ และก็มีการเรียกวิชามวยของหมื่นมวยมีชื่อว่า มวยไชยา เพราะเป็นมาจากไชยาและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และทำให้วิชานี้เป็นที่โด่งดังขึ้นด้วย ภาพ นายปล่อง จำนงค์ทอง ชกมวยต่อหน้าพระที่นั่ง ความแตกต่างของวิชามวยไชยานั้น คือวิชานี้มีการจับทุ่ม หัก ล็อก อีกทั้งท่าฟุตเวิร์คย่างก้าว ก็แตกต่างกับมวยไทยที่จะดูช้า ๆ แต่มีจังหวะและสวยงาม เหมือนกับกำลังร่ายรำ เพียงแต่เป็นร่ายรำที่สามารถใช้ในการป้องกันตัวได้ จึงเห็นได้ว่าแตกต่างกับวิชามวยไทยในปัจจุบันอย่างมาก ขอบคุณภาพจาก Facebook: สยามยุทธ์ บ้านครูแปรง แต่ความโด่งดัง ก็มีจุดที่ร่วงลงตามธรรมชาติ วิชามวยไชยาที่เคยมีสำนักเปิดมากมาย ก็เริ่มถดถอยลดลง ไม่มีการสนับสนุน ปัญหาสำคัญในยุคนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของวิชาที่ดูรุนแรง แต่กลับเป็นเรื่องของการพนันที่เอามาเป็นจุดสำคัญมากกว่าจะวัดกันที่ฝีมือ จึงทำให้วิชาถดถอยและเงียบหายไป จนกระทั่งครูแปรงได้พบกับ ครูทองหล่อ ยาและ ที่หมู่บ้านทับช้างล่าง ซึ่งครูทองหล่อเป็นนักมวยไชยาไม่กี่คนที่ยังเก็บวิชานี้ไว้กับตัว และครูแปรงก็ได้นำสอนต่อจนวิชามวยไชยามีชื่อเสียงอีกครั้ง และช่วงที่มวยไชยามาเป็นที่รู้จักและโด่งดังอย่างมาก ก็คือการที่วิชามวยไชยา ได้ไปปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก ที่ จา พนม นำแสดง แต่ขณะนั้นทุกคนก็คิดว่าวิชาที่จา พนมแสดงคือมวยไทย จนเกิดเป็นกระแสฝึกท่าย่างสามขุมกันเกือบทั่วประเทศ แต่จุดนี้เอง ที่ทำให้หลายคนสงสัยว่าท่านี้มาจากวิชาอะไร และเกิดการค้นหา ตรงนี้ก็เป็นผลพลอยได้ที่ทำให้วิชามวยไชยากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และมีการฝึกวิชานี้มากขึ้นตามไปด้วย วิชาการต่อสู้แต่ละประเภทที่นอกจากจะมีเอกลักษณ์แล้ว วิชาเหล่านี้ยังได้ซ่อนประวัติศาสตร์และเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนผ่านมาหลายยุคสมัย มวยไชยาที่แม้จะมีรากฐานมาจากมวยในวังหลวง แต่ก็เป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นที่กล่าวขาน และยังเป็นหน้าตาอันสำคัญของชาวเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจำนวนผู้ฝึกที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะได้เห็นวิชานี้ไปโลดแล่นอยู่ในสังเวียนระดับโลก ถือเป็นเพชรเม็ดงามชิ้นหนึ่ง ที่ฝังตัวอยู่ในสยามประเทศ ให้คนรุ่นต่อไปได้สืบสานวิชานี้