สงกรานต์นี้ไปไหนดีวะ? คืนวันที่ 11 เมษายน 2559 เป็นวันที่เราสามคน เริ่มออกเดินทางลงสู่ภาคใต้ โดยไม่มีการวางแผนการเดินทางใดๆทั้งสิ้น มันเริ่มจากบทสนทนาในวงเหล้า ที่แค่คุยกันว่า "สงกรานต์ไปไหนดีวะ?" แล้วจึงมาจบที่ว่า "เอาวะ! ไปก่อน แล้วค่อยคิด" โดยจุดมุ่งหมายแรกที่จะไปคือ เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากเราสามคนนั้นเห็นจากในเฟสบุ๊คหลายต่อหลายครั้ง ว่ามันสวยขนาดไหน ประกอบกับมีเพื่อนคนนึงในกลุ่มที่ทำโฆษณาไทยเที่ยวไทย ที่เพิ่งกลับมาจากการไปถ่ายงานที่นั่นก็มาสร้างกระแสว่า "มันสวยมากนะเว้ย นี่กูเพิ่งกลับมา รู้จักกับพี่ที่เป็นเจ้าของแพด้วย พวกมึงไปกันเลย เดี๋ยวกูติดต่อจองที่พักให้" นั่นจึงเป็นที่มาของจุดมุ่งหมายแรกในการลงใต้ในปีนั้น เนื่องจากเราเดินทางช่วงสงกรานต์ แน่นอนครับ รถติดแทบจะทั้งเส้นเพชรเกษมที่จะเดินทางลงภาคใต้ เราออกจากกรุงเทพตอนสามทุ่ม ระหว่างทางเราก็พูดคุยกันมาเรื่อยๆ แวะพักบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง บางคนล้าจากการนั่งรถนานๆ ก็มีผลอยหลับไปบ้าง ก็ไม่ว่ากัน เพราะต่างคนต่างก็รู้ว่าทริปนี้อาจจะเป็นการไปเที่ยวที่อาจจะต้องพลังและเวลาในการเดินทางเยอะที่สุดทริปนึงก็เป็นได้ เราถึงแยกพุนพินที่สุราษฎร์ธานี ตอนเกือบ 8 โมงเช้า จากนั้นเราก็แวะเติมพลังด้วยโจ๊กหมู ปาท่องโก๋ และกาแฟร้อนๆแถวๆแยกพุนพิน เมื่อท้องอิ่มแล้วจึงออกเดินทางต่อไปยังจุดมุ่งหมายแรก "เขื่อนรัชชประภา" เราใช้เวลาจากแยกพุนพินไปถึงที่ปากทางเข้าเขื่อนไม่นานนัก สองข้างทางเริ่มมองเห็นถึงความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า เรารู้สึกเข้าได้ใกล้ธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ เราตื่นเต้นกับไปเขื่อนรัชชประภามาก เพราะไม่มีใครเคยไปเลยซักคน จินตนาการกันไปใหญ่ต้องสวยมากๆแน่ๆ ต้นไม้ ภูเขา และท้องน้ำ แค่คิดก็อดตื่นเต้นจะไม่ไหวแล้ว เมื่อเราถึงจุดมุ่งหมายแรก สิ่งที่เราสามคนคิดกันมาตั้งแต่บนรถเมื่อคืนก็เป็นตามนั้น คือคนเยอะมาก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวช่วงวันหยุดเทศกาลเยอะมาก แต่ด้วยความมีสติที่หลากแหลมและรอบคอบ ทำให้เราเลือกที่จะโทรไปจองเรือโดยสารตั้งแต่ 3 วันที่แล้วก่อนเดินทาง เราจึงไม่ต้องรอนานมากนักเพื่อที่จะเดินทางไปที่พักบนแพ ระหว่างที่รอเรือ เราสามคนนั่งดื่มน้ำและขนบขบเคี้ยวพลางพูดคุยถึงปลายทางที่เรือจะพาเราไปถึง ว่ามันจะสวยงามมากขนาดไหน เพราะแค่ที่ท่าเรือที่เรารอจะขึ้นเรือ ก็ถือว่าสวยมากๆแล้วสำหรับคนกรุงเทพทั้งสามคนที่วันๆเห็นแต่ตึกระฟ้าและรถติด ทะเลสาบสีฟ้าสดที่สวยงามกว้างใหญ่ เขาหินผาสีน้ำตาลอมส้มตัดสลับกับสีเขียวของต้นไม้และสีฟ้าของน้ำในเขื่อน แค่นี้ก็สวยเหมือนภาพวาดแล้ว ความเหนื่อยล้าจากการขับมาทั้งคืน ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเรือโดยสารเริ่มติดเครื่องแล้วออกจากท่า สองข้างทางที่มีแต่เวิ้งน้ำสีฟ้าสุดสวยตัดกับผาหินปูนสลับกับต้นไม้สีเขียวนั้น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกว่า "นี่แหละ วันหยุดของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว" ผาหินปูนที่สูงสลับเตี้ยลดหลั่นกันไป ท้องน้ำสีฟ้า และแดดอ่อนๆช่วงสาย มันเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริงๆ ความสวยงามที่เราเคยเห็นแต่หน้าจอโทรศัพท์ บัดนี้ เค้าได้ปรากฎต่อสายตาต่อหน้าเราแล้ว เราสามคนนั่งเงียบกัน ต่างคนต่างฟังเพลงที่ตัวเองชอบแล้วดื่มด่ำความสวยงามทั้งสองข้างทาง ปล่อยให้เสียงน้ำแหวกเบาๆและเสียงเครื่องเรือผ่านหูไปเรื่อยๆ ต้องซึมซับภาพเหล่านี้ไว้ให้ได้มากที่สุด โทรศัพท์มีไว้แค่เพียงถ่ายรูป ไม่มีโซเชี่ยลต่างๆมาทำลายบรรยากาศ เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใดๆที่จะติดต่อกับโลกภายนอกได้เลย มีแต่ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น มองลงไปในน้ำ น้ำก็สีฟ้าใสมากซะจนคิดว่าอาจจะมองเห็นถึงใต้พื้นน้ำมั้ย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขื่อนแห่งนี้ลึกหลายสิบเมตร ผาหรือเขาเล็กๆเราที่นั่งเรือผ่าน จริงๆแล้วเมื่อก่อนเป็นภูเขาสูงหลายร้อยเมตร ปริมาณน้ำมากซะจนทำให้ภูเขาลูกใหญ่ๆกลายเป็นเนินเขาเล็กๆที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมานิดเดียว นั่งทอดอารมณ์มองดูผืนน้ำไปเรื่อยๆ จนบางทีก็แอบหลอนขึ้นมาเองเหมือนกันว่า จะมีอะไรโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำหรือเปล่า คุยกับพี่คนขับเรือก็ได้ความว่า จริงๆแล้วที่นี่จะสวยที่สุดคือช่วงหน้าฝน เพราะหลังฝนตก จะมีหมอกลอยต่ำเรี่ยๆตามยอดเขา เหมือนว่ายอดเขานั้นสูงขึ้นไปบนก้อนเมฆ แล้วปลาก็ชุมมากจนสามารถนั่งตกปลาหน้าบ้านได้เลย ที่นี่มีการจัดการเรื่องของเสียดีมาก คือไม่มีการปล่อยของเสียลงน้ำเด็ดขาด ถึงแม้ว่าน้ำนั้นจะผ่านการบำบัดน้ำเสียแล้ว แต่ทุกแพ ทุกบังกะโลจะมีท่อน้ำต่อขึ้นไปบนฝั่ง เพื่อปล่อยน้ำที่บำบัดแล้วลงสู่บ่อซึม เรือโดยสารพาเรามาถึงแพที่พักอย่างปลอดภัย เราทะยอยเอาสัมภาระต่างๆขึ้นจากเรือ ที่พักเราไม่ได้เป็นบ้านครับ ที่พักเราเป็นเต็นท์... ใช่ครับ มันเป็นเต็นท์ที่อยู่บนแพอีกทีนึง เนื่องจากที่พักถูกจองเต็มก่อนสงกรานต์มาถึง 3 เดือน พี่เจ้าของแพเลยกางเต๊นท์ให้เรา 2 หลัง เราก็ขอบคุณพี่เจ้าของแพเสร็จเรียบร้อย เลยขอเริ่มกิจกรรมสันธนาการ เริ่มจากการโดดน้ำจากแพครับ ต้องยอมรับเลยครับ ว่าน้ำใสจริงๆ สีฟ้าสวยจริงๆ พวกเราก็โดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน สดชื่นหายจากความเหนื่อยล้าจากคืนก่อน ซึ่งตอนนั้นคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ และโชคก็เข้าข้างเรา เมื่อจู่ๆก็มีฝนตกมาห่าใหญ่นานประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากฝนหยุด เราได้เห็นความสวยงานตามที่พี่คนขับเรือเล่าให้เราฟัง คือหมอกก็มาตามนัด ปกคลุมตามยอดเขาทั้งใกล้และไกล แสงแดดเริ่มแย้มออกมาอีกรอบ แสดงให้เห็นถึงขุนเขาตรงหน้าที่เมฆหมอกปกคลุม น่าจะเป็นภาพย้อนแสงที่สวยที่สุดในชีวิตที่เราได้เห็นกับตา ทุกคนบนนั่งอึ้งกับความงามตรงหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดหรือทักอะไรกันให้เสียบรรยากาศ เอาจริงๆถ้าทั้งแพมีเราแค่ 3 คนก็คงจะดี พอฝนหยุดตก เรือมาเทียบส่งนักท่องเที่ยวแบบไม่ขาดสาย คนก็เริ่มทะยอยขึ้นแพกันมาเรื่อยๆ จากความเงียบสงบกลายเป็นความวุ่นวาย บนแพมีคนน่าจะไม่ต่ำกว่า 100 คน ความเงียบสงบของเราก็หมดไป จากที่เราวางแผนว่าจะนอนที่นี่ซัก 2 คืน ค่อยหาที่ไปต่อ เลยมานั่งประชุมกันว่า เอาไงดีวะ? สรุปแล้ว เราตกลงจะนอนที่แพ 1 คืน แล้วตัดสินใจว่า เราย้ายไปที่อื่นดีกว่า คือออกจากแพเลย หาที่เที่ยวที่ใหม่ และในคืนนั้นก็ทำให้เราเริ่มลังเลอีกครั้งว่าจะอยู่ต่ออีกคืนหรือไม่ ช่วงเวลาที่ผู้คนเริ่มเข้านอน เราสามคนก็ขอออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนที่ดึกสงัด เรากะแค่ว่าจะนั่งแค่ตรงริมน้ำ นั่งคุยกันเบาๆ แต่สิ่งที่เราได้เจอในคืนนั้นมันไม่สามารถทำให้เราลืมเขื่อนรัชชประภาได้อีก คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดที่มืดจริงๆ สิ่งที่เราเห็นบนฟ้าคือดาว ดาวเต็มไปหมด สวยมากๆ มันคงจะโรแมนติกมากถ้าเราพาคนรักหรือแฟนมานั่งดื่มด่ำบรรยากาศอาบแสงดาวด้วยกัน เห็นแม้กระทั่งทางช้างเผือกและดาวตก เป็นอีกหนึ่งคืนที่เราคงจะไม่มีวันลืมได้ในชีวิต พอตอนเช้า เราตัดสินใจกันว่าจะออกจากแพ ขึ้นฝั่ง และไปจุดมุ่งหมายที่สองของเรา เราสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน แต่ขอเลือกช่วงวันธรรมดาที่คนไม่พลุกพล่าน เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่แพ ลาพี่เจ้าของแพ เดินทางกลับขึ้นฝั่ง ซึ่งระหว่างทาง เราก็คิดกันต่อว่าไปไหนดี จนสรุปสุดท้าย เราเลือกเดินทางไป "อ่าวไร่เลย์ จ.กระบี่" ไว้เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ