ในยุคที่ยางพาราราคาตกต่ำจากที่เคยมีราคากิโลล่ะเกือบร้อยบาท ในวันนี้เหลือเพียงกิโลกรัมล่ะ 30 กว่าบาท ทำให้รายได้ของชาวสวนหดหายไปไม่น้อย จากรายได้นับพันบาทต่อวันเหลือเพียงหลักร้อยบาทต่อวันมันช่างสวนทางกับเศรษฐกิจที่สินค้าทุกอย่างรอบตัวทะยานพุ่งขึ้นไป รายต่อวันที่ได้รับแลกมากับการทุ่มเทเวลาในยามรุ่งเช้า เวลาประมาณตี 2หรือ ตี 3 ชาวสวนก็ต้องลุกขึ้นจากที่นอนตระเตรียมตะเกียงสำหรับส่องทาง จากในอดีตเป็นตะเกียงแก๊สสู่ตะเกียงไฟฟ้าที่ต้องคอยชาร์ทแบตเตอรี่ มีดกรีดยาง รองเท้าบู๊ท และชุดรัดกุมออกเดินทางไปยังสวน เพื่อเดินกรีดยางไปทีล่ะต้นกว่าจะเสร็จก็เกือบเช้าแล้ว สำหรับใครที่มีสวนยางหลายไร่ก็อาจต้องตื่นเร็วกว่านั้น หลังกรีดยางเสร็จก็รอเวลาให้น้ำยางค่อย ๆ หยดลงถ้วยจนกระทั่งน้ำยางหยุดไหลในยามเช้า ซึ่งต้องระวังไม่ให้สายมากจนเกินไปเพราะหากแดดแรงน้ำยางอาจจะจับตัวเป็นก้อนเสียก่อน ทำให้เสียราคาและไม่สามารถนำน้ำยางมาไปขายได้ เมื่อเดินเก็บน้ำยางจากต้นทีล่ะต้นวนซ้ำกับที่เคยเดินกรีดไปเมื่อคืนพวกเขาก็นำน้ำยางมาบรรจุแกลลอน หลังจากนี้ชาวสวนบางรายอาจเลือกนำน้ำยางไปขายยังจุดรับซื้อซึ่งกระจายไปตามที่ต่าง ๆ ในแต่ล่ะหมู่บ้านมีราคารับซื้อขี้นลงในแต่ล่ะวัน ในอดีตชาวสวนนิยมนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นก่อนนำมาขาย แต่ในวันนี้พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะเพิ่มเวลาอีกหลายชั่วโมงในการมาทำยางแผ่นที่มีมูลค่าไม่ได้เพิ่มขึ้นไปอีกสักเท่าไหร่นัก ชาวสวนหลาย ๆ รายจึงใช้วิธีขายน้ำยางสด แม้ในวันนี้รายได้จากการขายน้ำยางสดจะหดหายแต่ชาวสวนยางต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภาพยามเช้าที่เคยเห็นชาวสวนเดินเก็บน้ำยางเริ่มเลือนหายไปเหลือเพียงเจ้าของสวนรายใหญ่ที่ยังใช้วิธีขายน้ำยางดิบ แต่สำหรับเจ้าของสวนรายย่อยที่มีสวนยางไม่กี่ไร่ในเมื่อเวลาที่ต้องเสียไปเริ่มไม่คุ้มค่า ชาวสวนรายย่อยบางรายเหลือรายได้ต่อวันเพียง 200-300 บาทต่อวันเท่านั้นทำให้พวกเขาต้องหันมาใช้วิธีกรีดยางแล้วให้น้ำยางไหลลงในถ้วยรองรับแล้วทำซ้ำ ๆ แบบนี้ 2-3 วัน จากนั้นจึงค่อยมาแคะเอาน้ำยางที่จับตัวเป็นก้อนในถ้วย นำไปขายในลักษณะของเศษยางหรือที่คนใต้เรียกว่าขาย "ขี้ยาง" แทน แม้ราคาที่ได้จะถูกเพียงครึ่งหนึ่งของราคาน้ำยางดิบ แต่พวกเขาก็ลดเวลาการทำงานลงไปได้ครึ่งหนึ่งเช่นกัน และนำเอาเวลาเหล่านั้นไปทำงานเสริมอย่างอื่นที่สร้างรายได้ เช่น ปลูกผัก ค้าขายเล็ก ๆน้อย ๆ หรือรับทำงานที่ตัวเองพอมีฝีมืออยู่ไม่ว่าจะเป็นวิชาช่าง ช่างไม้ ช่างไฟ ช่างก่อสร้าง เป็นต้นอาจมีคำถามจากคนที่อื่น ๆ ว่าทำไมไม่เปลี่ยนอาชีพ หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่าอาชีพสวนยางพาราเป็นอาชีพที่คนใต้ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษสร้างรายได้เลี้ยงชีพกันมายาวนาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลความผูกพันหรือความคุ้นเคยแม้จะต้องทนยอมรับว่ารายได้จะไม่มากมายเช่นแต่ก่อน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราสังเกตเห็นคือสวนยางแปลงนี้ก็ยังสร้างรายได้เขhากระเป๋าทุกวันพอให้อุ่นใจโดยไม่ต้องพึ่งพานายจ้างที่ไหน ส่วนหนทางรอดนั้นแต่ล่ะคนก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน