บทความครั้งนี้ ขอพาไปชม "กรุงเยรูซาเล็ม" โดยครั้งก่อน ได้พาเที่ยวชมเมืองชิโลห์และเบธเอลไปแล้ว เพื่อน ๆ ผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้ตาม link นี้เลยนะครับ (ตามรอยประวัติศาสตร์ชนชาติยิว ตอนที่ 1, 2 ) ผมได้เดินทางเข้าที่กรุงเยรูซาเล็ม โดยมาพักที่โรงแรม Leonardo Inn Hotel คำว่า Leonardo ในที่นี้คือ Leonardo da Vinci จิตกรชื่อดังชาวอิตาลี ไม่ใช่ Leonardo Dicaprio พระเอกชื่อดังจากเรื่อง "ชู้รักเรือล่ม"(Titanic) สัญลักษณ์โรงแรมจะเป็นภาพกายวิภาค(Vitruvian man) นอนแผ่สองสลึงเป็นเครื่องหมายการค้าของโรงแรม Leonardo da Vinci ภาพ Vitruvian man ของโรงแรม Leonardo da Vinci ที่กรุงเยรูซาเล็ม ผมจะพักที่ โรงแรม Leonardo da Vinci เป็นเวลา 2 คืน ก่อนที่จะย้ายไปพักที่ Hukuk Kibbutz (คิบบุท คืือ ชุมชนที่อยู่ของคนยิว คล้ายๆกับกลุ่มสหกรณ์เกษตรของเมืองไทย) ที่เมืองทิเบเรียส ซึ่งจะพาไปเที่ยวชมในบทความครั้งต่อ ๆ ไป สำหรับคำว่า เยรูซาเล็ม(Jerusalem -יְרוּשָׁלַיִם ) ในภาษาฮีบรู อ่านว่า "ยะรูซาลาอิม" หมายถึง "นครแห่งสันติภาพ" ตามพระธรรมบทเพลงสดุดี(Psalms) บทที่ 122: 6 ได้พรรณาว่า "จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม ว่าขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ" คำว่า "สันติภาพ" ในภาษาฮีบรู คือคำว่า "ชาโลม"(Shalom - שָׁלוֹם) ให้ความหมายรวมไปถึงคำว่า สันติสุข,สวัสดิภาพ,สุขภาพดีและความเจริญรุ่งเรืองด้วย ดังนั้นจึงเป็นคำทักทายกันของคนยิว เมื่อได้พบเจอกัน คล้ายกับคำว่า "สวัสดี" ของคนไทยเรานั่นเอง บทเพลงจากพระธรรมสดุดีบทนี้จึงให้ความหมายถึงการเอาใจช่วยกันอธิษฐานเผื่อกรุงเยรูซาเล็มให้พบกับสันติภาพ ปราศจากสงครามและขอให้บรรดาคนที่อธิษบานเผื่อที่มีหัวใจรักประเทศอิสราเอลและกรุงเยรูซาเล็มนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่บรรดาผู้คนจากนานาประเทศจึงได้อธิษฐานเผื่อกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเชื่อว่าเมื่อได้อวยพรเมืองนี้ พวกเขาก็จะได้รับการอวยพรจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลกลับมาด้วยเช่นกัน หากเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของคนยิว กรุงเยรูซาเล็มไม่มีวันที่จะเงียบสงบเลย เพราะพบกับสงครามการต่อสู้ เพื่อแย่งชิงกันครอบครองมาตลอดตั้งแต่ในโบราณกาล จนถึงประเทศอิสราเอล ได้กลับมารวมเป็นประเทศอีกครั้งในปี ค.ศ. 1948 และสงครามก็ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องระหว่างคนยิวและชนชาติต่างๆจนถึงทุกวันนี้ สำหรับผมในฐานะของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้เชื่อและศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าของประเทศอิสราเอล ดังนั้นในสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณเราจึงเป็นคนในครอบครัวเดียวกันทางความเชื่อ ดังนั้นผมจึงได้อธิษฐานเผื่อให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุขในกรุงเยรูซาเล็ม โดยขอให้พระยาห์เวห์ทรงปกป้องกรุงเยรซาเล็มนี้ เหมือนการที่ภูเขาที่เป็นดังปราการที่เข้มแข็งที่โอบล้อมกรุงเยรูซาเล็มนี้ไว้เสมอมา พระธรรมสดุดี 125:2 ได้พรรณาว่า ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระยาห์เวห์ทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้สืบไปเป็นนิตย์ฉันนั้น ดังนั้นการเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มของผมนี้ ไม่ได้มาเพื่อการจารึกแสวงบุญ แต่มาเพื่อมายังดินแดนของพระบิดาที่มารานงานตัวกับพ่อว่าวันนี้ลูกได้มายืนอยู่ที่แห่งนี้แล้ว ภารกิจของผมในกรุงเยรูซาเล็ม คือการไปเพื่อรายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ เหมือนทหารที่เข้าประจำการในการทำสงครามเพื่อปกป้องเมืองไว้ ในครั้งนั้นผมได้เดินทางมาที่จุดศูนย์กลางของเยรูซาเล็ม นั่นคือ ที่ภูเขาพระวิหาร (Temple Mount) หรือ ยอดเขาโมริยาห์ ซึ่งตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นสถานที่ที่กษัตริย์โซโลมอนได้สร้างพระวิหารหลังแรกบนยอดเขาโมริยาห์แห่งนี้ แต่หลังจากนั้นในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ของบาบิโลน พระวิหารหลังแรกได้ถูกทำลายไป ต่อมาเมื่อกษัตริย์ไซปรัสอนุญาตให้ เอสราและเนหะมีย์ นำคนยิวกลับมาสร้างพระวิหารและซ่อมแซมกำแพงเยรูซาเล็ม โดยมีเศรุบาเบลเป็นผู้มอบถวายพระวิหารหลังที่สองใน ปี 515 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในปี ค.ศ 37 เฮโรดได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ยูดาห์ได้ทำการซ่อมแซมและขยายบริเวณพระวิหารอย่างอลังการใช้เวลาสร้างถึง 46 ปี ต่อมาในปี ค.ศ 70 ก็ถูกทหารโรมันทำลายพระวิหารทั้งสิ้น และคนอิสราเอลได้หนีกระจัดกระจายไปทั่วโลก จนได้กลับมารวมชาติอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1948 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสุเหร่าทองคำ(Dome of the Rock)สร้างโดยสุลตาน คาลิโอมาร์ ในปี ค.ศ.624 ดังนั้นบริเวณนี้ จึงสถานที่ที่มีความสำคัญเป็นศูนย์รวมของ 3 ศาสนาคือ ยูดาย,อิสลามและคริสต์ กำแพงร้องไห้ (wailing wall) เชื่อว่าเป็นซากของพระวิหารที่่ถูกทำลายไป ซากกำแพงที่เหลือนี้เองจึงเป็นเหตุที่ทำไมชาวยิวจึงเรียกกำแพงกรุงเยรูซาเล็มด้านฝั่งตะวันตกนี้ว่า "กำแพงร้องไห้ (wailing wall)" เพราะนี่คือกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่ 2 ที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงแค่ 1 ส่วนใน 8 ส่วนของพระวิหารของคนยิวที่ถูกทำลายลงไป ชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาจะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาอธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น เพราะเชื่อว่าที่กำแพงแห่งนี้เป็นจุดที่อยู่ใกล้พระวิหารหลังเดิมมากที่สุด อธิษฐานที่กำแพงร้องไห้ ในวันที่ผมได้ไปอธิษฐานที่กำแพงร้องไห้แห่งนี้เป็นวันที่เหล่าทหารกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล(IDF- Israel Defense Forces)เดินทางมารายงานตัวเพื่อกล่าวปฏิญาณตนต่อหน้ากำแพงร้องไห้ เพื่อแสดงถึงการเป็นทหารที่อยู่ภายใต้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาที่พระองค์ทรงเป็น "พระยาห์เวห์ สะบาโอธ"(Yahweh Sabaoth) จอมพลโยธาที่ปกป้องดินแดนของพวกเขา ช่างเป็นความประทับใจที่เป็นโอกาสพิเศษที่รอบปีจะมีสักหนที่จะได้ชมการรายงานตัวของทหารและผมก็ได้มารายงานตัวในฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เป็นอันจบภารกิจวันแรกของการเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็ม หลังจากนั้น ก็ได้ไปเดินชมๆรอบๆเมืองและกลับไปที่โรงแรม Leonardo da Vinci วันนี้สนุกและประทับใจแต่ก็เหนื่อยมาก เลยนอนแบบภาพ Vitruvian man เลยทีเดียว แต่ใส่เสื้อผ้านะครับ บทความครั้งต่อไปจะเล่าถึงภารกิจที่กรุงเยรูซาเล็มต่อ และไปที่นครของดาวิด กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศอิสราเอล ติดตามอ่านกันได้ครั้งต่อไปครับ (หมายเหตุ ภาพถ่ายในบทความนี้ ถ่ายโดยผู้เขียน) ขอบคุณเครดิตภาพปกโดย krystianwin และ ภาพ Vitruvian man จาก Pixabay