อื่นๆ

ซ่อนแอบ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ซ่อนแอบ

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีหรือสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย เมื่อก่อนเด็ก ๆ มักจะจับกลุ่มกันเล่นต่างจากสมัยนี้ที่เด็กอายุเพียงแค่ 3 ขวบปีก็สามารถเล่นโทรศัพท์ได้แล้ว

และการละเล่นของเด็กเมื่อก่อนมักจะชอบจับกลุ่มรวมตัวมาเล่นซ่อนแอบกัน

โดยคนแรกที่ถูกแยกออกมา 1 คนนั้นจะต้องคนเป็นหา ส่วนอีกหลายๆคนที่เหลือก็ปลีกตัวไปซ่อนเพื่อให้ยากต่อการถูกจับแล้วตนจะต้องกลายมาเป็นคนหาในตาถัดไป

ถึงแม้ซ่อนแอบเป็นการละเล่นพื้นบ้านในสมัยโบราณกาลที่สนุกมากเช่นเดียวกันถ้าเล่นเป็นกลุ่มใหญ่ แต่แล้ววันนึงก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีเด็กกลุ่มนึงเล่นซ่อนแอบกันจนค่ำมืด และจำนวนของเด็กกลุ่มนั้นมีอยู่ 10 คน โดยเด็กคนนึงนั้นเดินหาเพื่อนอีกเก้าคนที่ซ่อนตนอยู่

กระทั่งเด็กคนนั้นเดินหาแล้วหายเข้าไปในป่าลึก

Advertisement

Advertisement

ทำให้เพื่อนเก้าคนที่แอบซ่อนตัวอยู่ได้เห็นว่าเด็กคนนั้นผู้ซึ่งเป็นคนหาเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบเชียบ แต่เพราะพวกตนนั้นแอบอยู่จึงไม่สามารถเรียกหรือส่งเสียงร้องทักอะไรได้ จนเวลาผ่านได้ผ่านล่วงเลยไปนาน เด็กทั้งเก้าคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเพราะไร้ซึ่งวี่แววของเด็กที่เป็นคนหา เพราะเขาไม่เดินกลับออกมาจากป่าซักที

เด็กเก้าคนร้อนใจมากจึงปรึกษากันว่าจะออกตามหา ทั้งคู่ตะโกนเรียกจนดังก้องทั่วป่าแต่เด็กคนนั้นกลับไม่ยอมขานรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กทั้ง9คนจึงรีบวิ่งไปบอก พ่อแม่ และชาวบ้านเพื่อหวังจะให้ช่วยออกตามหาเด็กคนนั้น ซึ่งชาวบ้านและพ่อแม่ของเด็กคนนั้นเองก็มิอาจอยู่เฉยหรือนิ่งดูดายกับเหตุการณ์นี้ได้ต่างก็ออกตามหาจนทั่วผืนป่า แต่ก็ไม่พบผู้ใด จนกินเวลาไปจนถึงรุ่งเช้า

ชาวบ้านและพ่อแม่ก็ยังไม่ถอดใจและออกตามหากันอีกรอบ

Advertisement

Advertisement

เพื่อนของเด็กคนนั้นที่ได้ออกไปตามหาเช่นกัน ก็ไปเจอเข้าพอดีซึ่งร่างนั้นได้นอนแอบหลับอยู่ในโพรงหญ้า เขาเรียกคนอื่น ๆ มาดู และรีบปลุกเด็กคนนั้น ทันทีที่ลืมตาตื่นก็ร้องไห้ระงมพร้อมกับวิ่งเข้าไปโผกอดพ่อกับแม่ หลังจากที่ทุกคนได้พากันกลับออกมาจากป่าลึก พอถึงบ้านโดยสวัสดิภาพพ่อและแม่ของเด็กคนนั้นจึงถามไถ่เจ้าตัวเพื่อให้คลายความสงสัยว่า

“ทำไมลูกถึงได้ไปนอนอยู่ที่ตรงนั้น”

เด็กน้อยตอบพลางเคล้าน้ำตาพร้อมกับเล่าว่า

ผมเห็นเพื่อนวิ่งเข้าไปในป่าเละจะตามไปให้ทันเขา แต่พอวิ่งตามเข้าไปจริง ๆ จนสุดทางเท้า เพื่อนก็วิ่งเร็วขึ้นจนก้าวเท้าตามแทบไม่ทัน แต่เมื่อเดินตามไปเรื่อย ๆ จึงเห็นว่าเพื่อนคนนั้นยืนหันหลัง ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหา แต่พอมองดูที่ใบหน้านั้นดี ๆ กลับกลายเป็นว่าคนที่ผมวิ่งตามมาไม่ใช่เพื่อนหรือสมาชิกในกลุ่มของผม เมื่อเจ้าตัวลืมตาขึ้นก็กลับปรากฏแต่ลูกนัยน์ตาสีขาวขุ่นไร้ลูกตาดำอย่างคนปกติ ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด ริมฝีปากแห้งผากสีดำคล้ำ ผมตกใจกับภาพตรงหน้ามากจึงรีบวิ่งหนีแต่ไม่ว่าจะหนีไปไหนเขาก็วิ่งไล่ผม แล้วตะโกนตามหลังมาด้วยน้ำเสียงอันน่ากลัว ‘จะหนีไปไหนมาเล่นซ่อนแอบกันเถอะ’

Advertisement

Advertisement

ผมรีบวิ่งหนีโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด

จนเหล่ไปเห็นโพรงหญ้าโพรงใหญ่พอที่จะแอบซ่อนตัวได้ ผมเลยแอบอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็ยังคงไม่เลิกรากลับตะโกนมาอีกว่า ‘แอบให้ดี ๆ จะไปหาแล้วนะ’

และเขาก็ยังคงเดินวนไปวนมารอบ ๆ แถวที่ผมแอบอยู่เป็นพัก แล้วผมก็ผล็อยหลับไปจนทุกคนมาเจอ

พอเด็กๆและชาวบ้านได้ฟังก็รู้สึกว่า เรื่องแบบนี้อดกลัวไม่ได้จึงได้สั่งห้ามไม่ให้เด็กน้อยวัยซุกซนซ่อนแอบตอนค่ำมืดอีกเป็นอันขาด... เพราะอาจจะไม่ได้โชคดีได้กลับออกมาเจอพ่อแม่หรือบุคคลอันเป็นที่รักอีกก็เป็นได้.........

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์