"ถ้าอยากเป็นหมอแมว ก็ต้องลงไปฝึกงานภาคใต้"เป็นคำแนะนำที่รุ่นพี่ทางสัตวแพทย์เคยแนะนำเอาไว้ แต่ความที่ฉันเป็นหมอทาสหมา คำพูดเหล่านี้จึงปลิวหายละลายไปกับอากาส จนกระทั่ง ๒๐ ปีต่อมา...สมัยก่อนการเดินทางจากภาคอีสานไปภาคใต้ ก็มีแต่ต้องนั่งรถทัวร์เท่านั้น หรือเข้ากรุงเทพฯ แล้วนั่งรถไฟยาวๆ ไป การใช้บริการสายการบินไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะมีกำลังทรัพย์ใช้บริการได้ แต่ปัจจุบันนี้สะดวกขึ้นมากเมื่อสายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกครอบคลุมทุกสนามบินในจังหวัดสำคัญ และในที่สุดก็ถึงคิวจังหวัดของฉันบ้าง“ขอนแก่น-หาดใหญ่”...มันช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง และวางแผนเที่ยวได้ง่ายขึ้นมาก(มองไปนอกหน้าต่างเป็นอ่าวไทย)ที่สนามบินมีบริการรถตู้เข้าเมือง แวะจอดตามจุดสำคัญๆ เราเลือกพักโรงแรมโกลเด้นท์คราวน์ แกรนด์ (Golden Crown Grand Hotel) เพราะสามารถใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาลได้ และอยู่ใกล้ตลาดกิมหยง แหล่งช้อปปิ้งสำคัญและจุดจอดรถด้วย"เมื่ออิ่มท้องสมองก็พร้อมจะเรียนรู้"...เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ต้องไปหาอะไรใส่ท้องกันสักหน่อย "ร้านในรู" เป็นร้านที่เจ้าถิ่นแนะนำว่า พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงร้านในรูตั้งอยู่ในซอยนิพัทธ์อุทิศ ๓ ร้านอาจดูไม่หรูหรา แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านเก่าแก่ของเมือง คุณภาพวัตถุดิบและรสชาติ ยกดาวให้ทั้งฟ้าไปเลยเวลาที่เราดูเมนูแล้วตัดสินใจไม่ได้ ก็จงลอกโต๊ะข้างๆเห็นทุกโต๊ะสั่งปอเปี๊ยะทอด ก็อย่าได้อายว่าลอกเขา รับรองไม่ผิดหวัง แป้งกรอบ ไส้กลมกล่อม มี 2 แบบ คือ ไส้เผือก และไส้วุ้นเส้นผัดกับหมูสับ จานต่อไปคือ “ไอ้คลั่งทะเลโหด” จานนี้โหดจริงๆ ไม่ใช่ว่าเผ็ดโหดอะไรนะ แต่ชิ้นอาหารทะเลที่ปรุงมามันใหญ่ และเยอะอย่างโหดจริงๆ รสชาติก็ดีงามตามท้องเรื่องจานต่อมาคือ “ปลาจาระเม็ดพริกเกลือ” ที่เหมือนเหมากระเทียมมาทั้งไร่ เป็นจานที่เหมาะกับคนรักกระเทียมมาก ใครทำไร่กระเทียมกำลังอยากหาตลาดก็ลองติดต่อร้านนี้ดูและจานสุดท้าย “หมูเส้นทอด” ใครสั่งตานนี้เนี่ย น่าตีจริงๆ เมนูบ้านๆ ทำเองที่บ้านก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ อร่อยจนต้องร้องขอชีวิต ทอดเองไม่ได้จริงๆ(ทางร้านเขารู้ว่าเป็นเมนูที่ทุกโต๊ะต้องสั่ง ถ้าใครว่างก็มานั่งห่อกันเตรียมไว้เลย)(ไอ้คลั่งทะเลโหด)(ปลาจาระเม็ดทอดพริกเกลือ)(หมูเส้นทอด)อิ่มหนำสำราญแล้วก็พร้อมซิ่งละ เจ้าเหมียวบ้านข้างร้าน ทำท่าอยากรู้อยากลองแว๊นซ์ด้วย ต้องเขี่ยๆ ออกแล้วบอก “ไม่ได้ๆ พี่ขี้เกียจพามาส่ง” (เจ้าหมายเลข ๑ มาแล้ว: ไม่รู้จักกันจะไปด้วยได้ไง) ไม่ไกลจากร้านในรูเป็นสถานที่เดินย่อยอาหารที่เหมาะสมมาก "ตลาดกิมหยง" เป็นแหล่งรวบรวมของฝากที่ครบครันทั้งอาหารแห้ง ผ้าปาเต๊ะ และขนมแปลกๆ จากต่างประเทศที่นำเข้ามาทางด่านชายแดนมาเลเซีย(ของคบเคี้ยวละลานตา แนะนำให้ซื้อแบบนิ่มเพื่อสะดวกต่อการแพคลงกระเป๋าเดินทาง)เวลาไปเที่ยวต่างแดนการลองชิมอาหารท้องถิ่น ถือเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นถิ่นอย่างหนึ่งเหมือนกัน เสียดายที่กว่าจะได้มาเดินก็เย็นมากแล้ว ร้านขายของสดต่างๆ จึงเริ่มทยอยเก็บแผงกันแล้ว เหลือแต่รถเข็นขาย "ขนมแป้งพิมพ์"และ "ถั่วหรั่ง"อืมมม ชื่อแปลกดี น่าสนใจต้องลองสักหน่อย... "ขนมแป้งพิมพ์" คล้ายๆ ขนมรังผึ้ง แต่มีให้เลือก ๒ แบบ คือจะใส่ไส้มะพร้าวขูดฝอย กับไม่ใส่ส่วน "ถั่วหรั่ง" ฟังคนขายว่าหากินยาก เพราะผลผลิตออกแค่ปีละครั้งตามฤดูกาล คือช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม รสชาติมันๆ ติดหวานปะแหล่มๆ อร่อยไม่เลวเลยคราวนี้อิ่มอย่างจริงๆ จังๆ แล้วนะ หนักพุงจนรู้สึกไม่ต่างจากงูเหลือมที่กินวัวไปทั้งตัว ดูท้องฟ้าแล้วยังไม่มืดเท่าไร ไปเดินเล่นดูบ้านดูเมืองเขาจะได้ย่อยอาหารไปด้วยในตัวดีกว่าแต่ฉันไม่อาจรู้ตัวเลยว่า การตัดสินใจไปเดินเล่นครั้งนี้ จะกลายเป็นเป้าให้พวกแมวที่จ้องจะตกแห่กันมาจากทุกทิศทาง...(เจ้าหมายเลข ๒: อย่ามาแกว่างหางยั่ว ทาสหมาไม่หลงกลหรอกจ้า)(เจ้าหมายเลข ๓: แค่ชี้นิ้ว ก็เดินเอาหัวมาไถ)(เจ้าหมายเลข ๔: คุณยายกินของหวานร้านหนูมั๊ย)(และแล้วก็มีคนโดนตก ๑ อัตรา)มองจากห้องพักของโรงแรมลงมาเห็นมีบ้านเก่าอยู่หลังหนึ่ง น่าจะอายุราวๆ ๔๐-๖๐ ปี เปิดเป็นร้านขายอาหารเช้า...น่าสนใจทันทีที่ฟ้าสาง มองจากชั้นบนลงมาเห็นร้านยกป้าย "เปิดให้บริการ" คว้ากระเป๋าสตางค์ได้ก็ตรงดิ่งลงลิฟท์ พุ่งไปร้านทันนี้ ร้านนี้ไม่มีแนะนำในรีวิวออนไลน์ จุดประสงค์หลักของฉันจึงตั้งใจมาเสพบรรยากาศ ถ้าอาหารอร่อยก็ถือว่าเป็นกำไรระหว่างทางไปร้านไปทางร้าน เจ้าแมวเหลืองตัวหนึ่งเดินนวยนาดออกมาจากช่องประตูที่แง้มไว้ของอาคารพาณิชย์ มันเดินตรงมานั่งกลางทางเท้าแคบๆ อย่างจงใจ ก้มลงเขี่ยมันไปให้พ้นทาง แต่เจ้าแมวกลับดึงเชือกผูกรองเท้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันอดไม่ได้ต้องก้มลงเกาหูและคางให้ เจ้าแมวเอาหัวมาถูไถจนพอใจแต่ยังไม่ยอมไป เอาแต่นั่งขวางทางมองหน้าร้องเมี้ยวๆ ฉันจึงใช้วิธีคีบหนังคอแบบแม่แมวดุลูก หิ้วมันไปไว้ข้างทางแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเช้า(เจ้าหมายเลข ๕: ถึงขั้นดึงเชือกผูกรองเท้ากันเลยทีเดียว)ปรากฏว่าฉันมาเช้าเกินไป ติ่มซำยังไม่พร้อม จึงได้แต่สั่งผัดหมี่ฮกเกี้ยนมาลองชิมดู (ผัดหมี่ฮกเกี้ยนทะเล แต่ใส่กุนเชียงมาด้วยดูย้อนแย้ง)ปรกติฉันเป็นชอบดื่มชาจีนในตอนเช้า มันให้ความรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง เห็นในรายการเครื่องดื่มมี “ชารัอน” ให้เลือก จึงถือโอกาสสั่งมาดื่มคู่กับมื้ออาหารเช้าเจ้าของร้านผลุบหายไปไม่นานก็กลับออกมาพรัอมชาสีส้มรสหวานแบบที่เรากินเป็นชาเย็น ฉันเห็นแล้วชะงัก ก่อนจะหลุดขำออกมาป้าบอกว่า แถวนี้ถ้าอยากได้แบบที่ฉันคิด ต้องสั่งให้เต็มยศว่า “ชาจีนร้อน” (ชาร้อนควันฉุย หวานมันๆ -..-“)ระหว่างที่กำลังกิน มีเสียงร้องม๊าวๆ อยู่ด้านหลัง พอหันไปเป็นเจ้าแมวดำกำลังกลิ้งตัวยั่วยวนอยู่ จำได้ว่าพวกเพื่อนๆ แก๊งทาสแมวต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แมวดำเป็นสีที่ขี้อ้อนที่สุด” ฉันจึงลองเอื้อมมือไปเขี่ยที่พุงดู แต่เจ้าเหมียวกลับวิ่งหนีไปเสียอย่างนั้น อ้าว! ยังไงเนี่ย(เจ้าหมายเลข ๖: อ้าวตกลูกค้าแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเซ่)ก้มดูนาฬิกาข้อมือได้เวลานัดหมายกับบริษัททัวร์แบบ One day trip แล้ว หลังจ่ายค่าอาหารฉันจึงรีบไปให้ทันเวลายังจุดนัดพบหมุดหมายของวันนี้อยู่ที่เกาะบูโหลน จังหวัดสตูล โดยจะลงเรือกันที่ท่าเรือปากบารา...พวกแมวคงไม่ตามไปถึงกลางทะเลหรอกนะ(ท่าเรือปากบารา ช่วงปลายฤดูมรสุม เรือประมงเล็กจึงจอดลอยลำกันเป็นพรืด)เกาะบูโหลนอยู่ห่างจากท่าเรือปากบาราไปราว ๒๒ กิโลเมตร นั่งเรือชมประติมากรรมหินผาที่ถูกลมและน้ำทะเลกัดเซาะเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เพลินตา ราว ๔๕ นาที ก็ถึงที่หมาย“เกาะบุโหลน” หรือ “เกาะบูโหลน” อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะเภตรา ประกอบด้วยเกาะต่างๆ ๘ เกาะ ได้แก่ เกาะบูโหลนเล เกาะบูโหลนคอน เกาะบูโหลนไม่ไผ่ เกาะตอกู เกาะลามา เกาะเอายำ เกาะรังนก และเกาะลูกหินคำว่าบูโหลน เพี้ยนมาจากภาษามลายูในคำว่า “บูโละ” แปลว่า “ไม้ไผ่” เนื่องจากบนเกาะอุดมสมบูรณ์ด้วยไม่ไผ่(เงียบเชียบราวกับเป็นเกาะส่วนตัว)น้ำทะเลสีเขียวใส ฉันสวมหน้ากากและคาบท่ออกซิเจน ก้มหน้าดูประการังและดอกไม้ทะเลต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน หากไม่เป็นเพราะไกด์สังเกตเห็นว่าคลื่นเริ่มสูงขึ้นและมียอดเป็นฟองข่าว เป็นสัญญานว่าพายุกำลังมา ไม่เช่นนั้นคงได้เล่นน้ำต่อจนถึงเย็นแล้วระหว่างรอคิวล้างตัวที่สำนักงานบริษัทนำเที่ยว เจ้าแมวขี้เหร่ทำหน้าไม่พอใจฉันด้วยเรื่องอะไรก็สุดคาดเดา ถึงจะดูไม่พอใจแต่ก็เอาแต่จ้องหน้าร้องม้าวๆ ดูจากแผลถลอกตามตัวคงไปติดขี้เรื้อนมาแน่ ฉันหยิบยาหยดหลังสำหรับแมวออกมา แล้วแหวกขนหยดยาลงไปที่ผิวหนัง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ฉันพกยาหยดหลังมาทะเลทำไมเนี่ย...(เจ้าหมายเลข ๗: หยดยาแล้วต่อไปจะได้เป็นแมวหล่อนะ)เนื่องจากว่าการท่องเที่ยวในวันนี้กลับก่อนกำหนด ทางบริษัทนำเที่ยวจึงชดเชยเวลาให้ด้วยการพาไปกราบพระนอนที่มีขนาดใหญติดอันดับโลก ณ "วัดมหัตตมังคลาราม" "วัดมหัตตมังคลาราม" เดิมชื่อ "วัดหาดใหญ่ใน" เริ่มก่อตั้งเป็นสำนักสงฆ์ เมื่อพุทธศักราช 2479 โดยนายทอง นางฉิ้น ใจเย็น ได้บริจาคที่ดินของตน 1 ไร่ และได้ประชุมตกลงร่วมกับประชาชนชาวบ้านหาดใหญ่ อาราธนาพระมหาคลิ้ง อตฺถจาโร ปัจจุบัน คือ พระครูวิจิตรพรหมวิหาร จากวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมานายจินต์ รักการดี นายอำเภอหาดใหญ่ (สมัยนั้น) พร้อมประชาชนได้มีจิตศรัทธาบริจาคซื้อที่ดินเพิ่มเติม และสร้างวัดขึ้น ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2490 ต่อมากระทรวงศึกษาธิการประกาศตั้งเป็นวัด วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2490 ให้มีนามว่า “วัดหาดใหญ่ใน” และได้เปลี่ยนนามใหม่เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2523 โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฏราชกุมาร) ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดมหัตตมังคลาราม” (พระพุทธหัตตมงคล พระนอนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก โดย “พระพุทธมหัตตมงคล” แปลว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงบรรลุถึงความเป็นใหญ่ เป็นมงคล”)One day trip ในวันนี้ปิดท้ายด้วยไก่ทอดหาดใหญ่หน้าโรงพยาบาล ก่อนที่รถนำเที่ยวจะพามาส่งที่โรงแรมที่พัก...ทันทีก้าวลงจากรถเจ้าพวกแมวก็ดูจะพร้อมปฏิบัติการ เหมือนฉันได้ยินเสียงเรียกเมี้ยวๆ อยู่ตลอดทาง (เจ้าหมายเลข ๘: แค่ไม่เดินไปเขี่ยตามเสียงเรียก จะทำน้ำตาคลอทำไมฮึ)บังเอิญข้าวต้มรถแดงในตำนานมาจอดใกล้ที่พัก ไก่ทอดหาดใหญ่ที่เพิ่งกินหมดจึงคล้ายกับว่าถูกย่อยสลายไปในพริบตา เพราะข้าวต้มเจ้านี้ขึ้นชื่อเรื่องความกลมกล่อมของน้ำซุป มาถึงที่แล้วไม่ชิมถือว่าผิด!(รถแดงสมฉายา)(ยุ่งจนไม่มีเวลาคุย)(เจ้าหมายเลข ๙: ทำท่าน่าสงสารจนฉันต้องแบ่งเป็ดในข้าวต้มให้ไปครึ่งหนึ่ง...ฉันต้องโดนสะกดจิตแน่ๆ)ตอนนี้แม้ข้าวต้มอุ่นอยู่ในท้อง แต่ยังรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ โชคดีได้เจ้าถิ่นอาสาพาหาของกินเล่นอีกสักยก ทำให้มื้อนี้ไม่ต้องจบลงแบบเศร้าๆ(หั่นแป้งมือเป็นระวิง)(ปาท่องโก๋ตัวเล็กๆ ยิ่งกินยิ่งเพลิน)ร้านซาลาเปาโกอ้วน อีกร้านที่ดูท่าทางเป็นที่นิยมในหมู่วัยทำงาน เพราะลูกค้าแน่นขนัดจนหาที่นั่งแทบไม่ได้ เมนูที่เป็นที่นิยมคือ ซาลาเปาหมูแดงทอด และขนมจีบทอด(ร้านซาลาเปาโกอ้วนคนแน่นอย่างกับจะเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน)(ซาลาเปาทอด เนื้อแป้งและปริมาณไส้พอดี ทอดได้ไม่อมน้ำมัน)(ขนมจีบทอด กินเพลินๆ จนหมดจานโดยไม่รู้ตัว)เมื่อขนมจีบทอดชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงไป กระเพาะของฉันก็ไม่สามารถบรรจุอะไรได้อีกแล้ว เจ้าถิ่นที่พามาจึงรับผิดชอบพาเดินชมชีวิตยามค่ำคืน...แต่สิ่งมีชีวิตที่ฉันเจอนั้น... ๒ วันมานี้ ฉันยังไม่เจอหมาเลยสักตัวเดียว เป็นไปถามที่หมอรุ่นพี่กล่าวไว้ไม่ผิดเพี้ยนว่าหากอยากจะเป็นหมอรักษาแมวที่เก่ง ก็ต้องลงใต้มาฝึกงาน แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเชื่อทางศาสนา หรือเพราะพวกแมวมันคิดจะครองโลกจริงๆ ก็ตาม แต่ระยะเวลาไม่กี่วันนี้ก็ทำให้ทาสหมาอย่างฉันอดใจอ่อนให้กับความนุ่มนิ่มและขนฟูๆ นั่นไม่ได้(เจ้าหมายเลข ๑๐: กลางตลาดก็ยังนอนหงายท้องได้เหรอ)(เจ้าหมายเลข ๑๑: หืมม หน้าไม่คุ้นมาจากต่างถิ่นล่ะสิ)(เจ้าหมายเลข ๑๒: บ้านเมืองนี้เขาเลี้ยงแมวได้น่าจกพุงจริงๆ)(เจ้าหมายเลข ๑๓: กลับมาแล้วเหรอ)(เจ้าหมายเลข ๑๔: วันนี้ไม่กินของหวานเหรอนุด)(เจ้าหมายเลข ๑๕: นี่แมวหรืออึ่งอ่างเนี่ยขอจับพุงหน่อยได้มั๊ย)(ง่ำ -..-")รุ่งขึ้นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในหาดใหญ่แล้ว เป็นโอกาสสุดท้ายในการซื้อของฝากระหว่างที่ฉันกำลังต่อรองราคาปลาเค็มเนื้อดีจากปัตตานี กลิ่นหอมหวานของขนมอย่างหนึ่งก็โชยมา ฉันรีบจ่ายเงินแล้วตามกลิ่นนั้นไป มันเป็นขนมที่มีหน้าตาคล้ายๆ โดนัท เรียกว่า "ขนมเจาะรู" หรือ "ขนมเจาะหู" แม่ค้าอธิบายว่า "หน้าตามันคล้ายเหรียญสตางค์เจาะรูสมัยก่อน เลยเชื่อกันว่าใช้เป็นอาหารงานบุญเดือน ๑๐ ให้สำหรับคนที่ตายเขาเอาไว้ใช้จ่าย แต่นอกเทศกาลก็กินได้อร่อยดี"ขนมกรอบนอกข้างในฉ่ำไปด้วยน้ำเชื่อมจากตาลโตนดทั้งหอมทั้งหวาน ถ้าได้ 'ชาจีนร้อน' สักกาคงเห็นสวรรค์รำไรเลยล่ะ(ขนมเจาะรูกินตอนร้อนๆ อร่อยมาก)(เจ้าหมายเลข ๑๖: ต้องอุดหนุนขนมแม่เลาถึงจะได้เกาคางนะนุด)ระหว่างที่ยืนคุยกัน มีก้อนขนนุ่มๆ มาคลอเคลียที่ข้อเท้า แต่พอก้มลงเขี่ยกลับทำเป็นเล่นตัว ขบนิ้วของฉันเสียอย่างนั้น"ต้องอุดหนุนแม่เขาก่อนจ้าถึงจะจับได้" แม่ค้าแถวๆ นั้นแนะนำเทคนิค...แหม! ช่างเป็นลูกกตัญญู ช่วยแม่ทำมาหากิน...ฉันอดค่อนขอดเจ้าเหมียวไม่ได้ แต่ทันทีที่ส่งธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาท ให้แม่แมวไป เจ้าเหมียวก็หันมาพูดจาภาษาดอกไม้กับฉันทันที มันเป็นยังไงกันนะแมวบ้านเมืองนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้ว ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ชิม มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป มีวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกหลากหลายที่ยังเรียนรู้ไม่จบสิ้น รอบหน้าต้องกลับมาให้พวกมวลแมวตก เอ้ย! เรียนรู้สิ่งดีงามของเมืองหาดใหญ่อีกแน่นอน