ภาพยนตร์ของเกาหลีใต้ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศ ทำให้ภาพยนตร์ของเกาหลีเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถแข่งกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และการทำรายได้ โดยชาวตะวันตกจะคุ้นเคยกับภาพยนตร์เรื่อง Oldboy (2003) ที่โด่งดังมาจากความรุนแรงและฉากจบอันน่าตกตะลึงโปสเตอร์ภาพยนตร์ Oldboy จุดเริ่มต้นของการเข้ามาของเครื่องฉายภาพยนตร์ในเกาหลีนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเข้ามาในช่วงปี ค.ศ. 1897-1902 ซึ่งภาพยนตร์ในช่วงแรกที่นำมาฉายจะเป็นลักษณะของสารคดีข่าวสั้นๆ หรือบันทึกภาพการณ์สำคัญจากฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา แต่ในปีค.ศ. 1905 ที่ญี่ปุ่นบังคับให้เกาหลีลงนามสนธิสัญญาผนวกดินแดน ทำให้เกาหลีต้องอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1910 เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้มีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นหลายคนหันมาเริ่มลงทุนสร้างโรงภาพยนตร์ขึ้นมา โดยภาพยนตร์เกาหลีเรื่องแรกถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1919 แต่เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเกาหลียังอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ทำให้การสร้างภาพยนตร์ต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะปกครองชาวญี่ปุ่น ทำให้ภาพยนตร์เกาหลีในช่วงปี ค.ศ. 1934-1945 เป็นภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อสนับสนุนจักรวรรดิญี่ปุ่น ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติมหาอำนาจได้เข้ามาควบคุมดูแลเกาหลี จนนำไปสู่การแบ่งประเทศเกาหลีออกเป็นสองประเทศและสิ่งที่ตามมาคือสงครามเกาหลี ซึ่งได้สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก บรรดาม้วนฟิล์มภาพยนตร์ที่เคยสร้างมาถูกทำลาย ส่วนอุปกรณ์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ก็ถูกทำลายจากภัยสงคราม ทำให้อุตสาหกรรมเกาหลีต้องกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง หลังสิ้นสุดสงครามเกาหลี ในปี ค.ศ. 1953 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีอี ซึงมัน จัดว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีเนื่องจากมีการประกาศให้ยกเว้นภาษีต่างๆ ในโรงภาพยนตร์ ตลอดจนมีการเปิดรับความช่วยเหลือทั้งด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์การถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ โดยใน ค.ศ. 1955 ภาพยนตร์เรื่อง Chunhyang-jon ถูกจัดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเกาหลีที่มีคนดูถึง 200,000 คน และในยุคนั้นยังมีภาพยนตร์เรื่อง The Housemaid ที่ถูกยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ดีที่สุดของเกาหลีใต้อีกด้วยโปสเตอร์เรื่อง Chunhyang-jonโปสเตอร์เรื่อง The Housemaid ในขณะที่สมัยประธานาธิบดีปาร์ค จุงฮี การสร้างภาพยนตร์มีข้อจํากัด เนื่องจากมีนโยบายการเซ็นเซอร์ ปิดกั้นทุกอย่างที่อาจ “หมิ่นเหม่” ทางการเมืองและสังคม และอนุญาตให้ฉายเพียงภาพยนตร์บู๊หรือรักเท่านั้น ภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศถูกควบคุมผ่านนโยบายเซ็นเซอร์ และได้มีการจำกัดการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ และมีการก่อตั้งองค์กร Korean Motion Picture Promotion Corporation (KMPPC) เพื่อควบคุมดูแลภาพยนตร์ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีปาร์ค จุงฮี จากการดำเนินนโยบายของปาร์ค จุงฮีได้ส่งผลกระทบทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีย่ำแย่ลง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1984 ในสมัยประธานาธิบดีชอน ดูฮวานได้มีการแก้ไขกฎหมายควบคุมภาพยนตร์ ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถทำภาพยนตร์ได้อย่างอิสระ ถือเป็นช่วงพลิกฟื้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลี ทำให้มีผู้กำกับและผู้สร้างภาพยนตร์หลายคนกล้าที่จะหยิบประเด็นที่ซับซ้อนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ภาพยนตร์เกาหลีจึงเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ผ่านเทศกาลภาพยนตร์หลายๆแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองคานส์ หรือชิคาโก โดยภาพยนตร์ที่โด่งดังในยุคนี้ก็คือ Deep Blue Night ขณะเดียวกันก็มีการเกิดขึ้นของภาพยนตร์ใต้ดินที่สร้างโดยกลุ่มนักศึกษา ซึ่งมีเนื้อหาสะท้อนภาพสังคม วิพากษ์วิจารณ์การเมือง ประธานาธิบดีชอน ดูฮวาน ผลจากการแก้ไขกฎหมายควบคุมภาพยนตร์เมื่อปี ค.ศ. 1984 ทำให้ไม่มีการจำกัดการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาพยนตร์เกาหลีที่ลดลงไป เพราะคนเกาหลีหันไปนิยมภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลของ โน แทวู ก็ได้มีการพยายามแก้ไขปัญหาโดยการใช้ประโยชน์จากการเข้ามาของผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ เช่น 20th Century Fox หรือ Warner Bros. และรัฐบาลเกาหลีก็ได้บังคับใช้ screen quota ซึ่งก็คือการออกประกาศกำหนดสัดส่วนระหว่างภาพยนตร์เกาหลีและภาพยนตร์ต่างประเทศที่จะนำออกฉายในโรงภาพยนตร์ โดยในปี ค.ศ. 1993 โดยบังคับให้โรงภาพยนตร์ต้องฉายภาพยนตร์เกาหลีจำนวนขั้นต่ำ 146 วันต่อปี แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รายได้ภาพยนตร์เกาหลีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะคนเกาหลีก็ยังคงนิยมดูภาพยนตร์ต่างประเทศเช่นเดิมประธานาธิบดี โน แทวู นับตั้งแต่ที่ปาร์ค จุงฮีเป็นประธานาธิบดีมาจนถึงโน แทวู เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 32 ปีที่เกาหลีถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร ในที่สุดเกาหลีก็เข้าสู่ยุครัฐบาลของประชาชน เมื่อ คิม ยองชัม ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในปีค.ศ. 1993 จึงมีการพิจารณาถึงการควบคุมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของรัฐบาลในการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ซึ่งขัดต่อเรื่องสิทธิเสรีของประชาชน ทำให้ Korean Motion Picture Promotion Corporation (KMPPC) ถูกลดบทบาทไปจนแทบจะไม่มีบทบาทอะไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ พร้อมทั้งเปลี่ยนมาใช้ระบบการจัดเรตติ้งที่จะกำหนดอายุของคนที่จะเข้าชมภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องแทน ในปีค.ศ. 1997-1998 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งส่งผลต่อภาพยนตร์เกาหลีเป็นอย่างมาก ในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กลุ่มแชโบล ถือเป็นนายทุนใหญ่ที่อัดฉีดเงินให้กับวงการภาพยนตร์เกาหลี ซึ่งได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์ และมีสิทธิ์ขาดในการเลือกนักแสดง เป็นเหตุให้คุณภาพของภาพยนตร์ตกต่ำลงโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อถึงปีค.ศ. 1997 เหล่าแชโบล ก็เริ่มไม่สนใจอุตสาหกรรมนี้ รวมไปถึงการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจบีบบังคับให้พวกเขาหันกลับไปสนใจทำธุรกิจหลักที่มีอยู่ และเริ่มถอนเงินทุนออกจากธุรกิจภาพยนตร์ นั่นทำให้กลุ่มนายทุนหน้าใหม่เข้ามาแทนที่ คือ CJ Group, Orion Corporation, และ Lotte Corporation ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของสนามอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลี เช่นภาพยนตร์เรื่อง The battleship island (2017) ภาพยนตร์เรื่อง The Sword with No Name (2009) ภาพยนตร์เรื่อง The Last Princess (2016)โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง The battleship island (2017)ภาพยนตร์เรื่อง The Sword with No Name (2009)ภาพยนตร์เรื่อง The Last Princess (2016) ต่อมาในปีค.ศ. 1999 ได้มีการปฏิรูป Korean Motion Picture Promotion Corporation (KMPPC) โดยการตั้งชื่อใหม่ว่า Korean Film Commission (KOFIC) ในปัจจุบันใช้ชื่อว่า Korean Film Council หรือ สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลี ที่เป็นหน่วยงานย่อมาจากกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนและประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคณะกรรมการขององค์กรมีจำนวน 9 คน ที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์ โดยหน้าที่หลักๆของสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลี คือ เพื่อดูแลภาพรวมของวงการภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น การพิจารณาสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้สร้างภาพยนตร์, สนับสนุนการวิจัย การศึกษา และการฝึกอบรม, ช่วยเหลือด้านการตลาดแก่บริษัทภาพยนตร์เกาหลีในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ อีกทั้งยังเป็นสปอนเซอร์จัดเทศกาลภาพยนตร์ และสนับสนุนไปถึงการจัดฉายภาพยนตร์เกาหลีในต่างประเทศอีกด้วย หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งจากงานวิจัยของผู้เขียนอ้างอิง : แดเนียล ทิวดอร์. (2560). มหัศจรรย์เกาหลี จากเถ้าถ่านสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม (แปลจาก KOREA The Impossible Country โดย ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ). กรุงเทพฯ : Openworld. 333.ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี, อลงกรณ์ คล้ายสีแก้ว, โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล. (2545). Korean Romance 15 หนังรักประทับใจและความเป็นมาเป็นไปของหนังเกาหลี. กรุงเทพฯ : Blackberry Publishing. 74-75.หนังโปรดของข้าพเจ้า, ช่วยวิกฤติหนังไทยอย่างไรดี ลองดูเกาหลีเป็นตัวอย่าง [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 จาก : https://themomentum.co/momentum-feature-learning-korea-films-for-treat-thai-film-crisis/Jirachpun51002, ประวัติภาพยนตร์เกาหลี [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 จาก : https://sites.google.com/site/jirachpun51002/home/prawati-phaphyntr-keahli