ระยะเวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที คุมเวลาได้ดี ดูง่าย บางช่วงเดินเรื่องช้าไปบ้าง ยังดีที่ใส่ภาพ Footage เสริมเข้าไปช่วยตัดความน่าเบื่อออกไปได้ แต่ละ Shot ที่หามาได้มีภาพที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน แต่ละภาพล้วนสยอง หวาดเสียว ชวนหดหู่ ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงมากมายขนาดนี้ หนังสงครามแต่ละเรื่องมาจากเหตุการณ์จริง จึงไม่ต้องเขียน Plot ใหม่อะไร เพียงแต่ปรุงแต่งความบันเทิงจากจินตนาการของมุมมองผู้กำกับต้องการนำเสนอออกมาเท่านั้น ตอนแรกดูจะเป็นหนังสงคราม แต่จริงแล้วคือหนังโจรกรรมขุมทรัพย์โดยมีฉากสงครามประกอบเสริม การดำเนินเรื่องกึ่งสารคดีเป็นระยะ ทำให้เนื้อเรื่องสมจริง เชื่อถือได้ แถมตัวหนังคารวะสงครามยุคก่อน อย่าง Apocalypse Now (1979) และ Platoon (1986) เหมือนเป็นแรงบันดาลใจในการทำเรื่องนี้หนังเชิดชูในวีรกรรมความกล้าหาญของทหารอเมริกาในการไปรบสงครามเวียดนาม ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ขณะเดียวกันก็เสียดสีต่ออำนาจของรัฐบาลที่พยายามเข้าไปแทรกแซงปัญหาของประเทศอื่นด้วยผลประโยชน์จากคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกา จีน โซเวียต เหตุการณ์ความรุนแรงนี้ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก โดยอาศัยความโลภ เสพติดสงคราม คำมั่นสัญญา และ การให้อภัย ผ่านความย้อนแย้งของตัวละครในเรื่อง กลุ่มดารานำรุ่นเก่ารับบทเป็นทหารผ่านศึกเหมือนคนแก่ตั้งวงเล่าเรื่องความหลังในร้านน้ำชาตอนเช้า ดูเป็นเพื่อนกันจริง นักแสดงสมทบอื่นแสดงดีเช่นกัน บางคนชั่วโมงบินน้อยไปหน่อย ไม่ถึงกับเสียของทีเดียว นักแสดงในเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวสี คนเวียดนาม และ คนฝรั่งเศส เอาที่รู้จักล่ะกัน เช่น Delroy Lindo จาก Romeo must die (2000) และ The One (2001) / Melanie Thierry จาก Babylon A.D. (2008) และ The zero theorem (2013) / Jean Reno จาก Leon : the professional (1994) และ Mission impossible (1996) / Johnny Nyugen จาก ต้มยำกุ้ง (2005) และ Chadwick Boseman จาก Black panther (2018) และ Avengers : Infinity Wars (2018) โดยเฉพาะบทของฝ่าบาททุ่มเทจริง โผล่ไม่มาก แต่ทุก Scene เด่นมาก การแสดงออกมาเหมือนจะสื่อสารอะไรกับคนดูอยู่ตลอด ด้วยกิริยาท่าท่างเหมาะเป็นผู้นำ ปกครองลูกน้องได้ ผมเชียร์เลยว่าสมควรให้ฝ่าบาทได้เข้าชิง และ คว้ารางวัล Oscar จริง ๆ ผมจัดให้เรื่องนี้คือ Masterpiece อีกเรื่องรองจากราชาเสือดำเลย ถ้าศึกษาเหตุการณ์ต้นตอสงครามเวียดนามมาจะทราบอยู่แล้ว และ คนที่โตมาในยุคนั้น จะสามารถเข้าใจ และ ถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาได้มากเป็นพิเศษ ผู้กำกับ Spike Lee มีวิสัยทัศน์ในการนำเสนอประเด็นคนผิวสีกับชาวเอเชียที่เป็นวัฒนธรรม 2 ชาติมารวมกันได้ลงตัว จากผลงานที่ผ่านมาที่คำวิจารณ์อยู่ในเกณฑ์ดีกับรางวัลที่ได้มาหลายเวทีมาแล้ว อาทิ Inside Man (2006) , Oldboy (2013) และ Blackkklansman (2018) แสดงให้เห็นว่าฝีมือคงมาตรฐานไว้เช่นเดิม ผลกระทบจากการเกิดสงครามส่งผลต่อประเทศชาติ มนุษย์นอกจากต้องต่อสู้สงครามต่างชาติแล้ว ยังต้องสู้กับคนในชาติตนเอง รวมถึงสภาวะทางร่างกาย จิตใจที่บอบช้ำจนเป็นแผลในใจที่ติดอยู่นาน ขณะเดียวกันสังคมเปลี่ยนไป สงครามไม่ใช่รูปแบบการสร้างอาวุธ ยุปโธปกรณ์ อีกต่อไป สงครามในปัจจุบัน คือ การค้าขาย การใช้สื่อ Social เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้า ติดต่อสื่อสารกัน ใครมี Contact ดีกว่าย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า เขาวัดกันตรงนี้ ความผิดพลาดของคนรุ่นเก่านำมาเป็นบทเรียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาเรียนรู้ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก แม้จะเป็นราคาที่ต้องจ่ายอย่างมหาศาล แต่ก็คุ้มค่าที่จะเสีย เมื่อผลลัพธ์ที่ได้กลับมาเป็นผลดีระยะยาว ความสันติสงบสุข คือ สิ่งที่มนุษย์ต้องการให้สังคมมีความรัก ความสามัคคีกัน ดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข ขอขอบคุณผู้สนับสนุนโดยwww.impawards.com = รูปประกอบที่ 1www.mediaweaverent.com = รูปประกอบหน้าปก / รูปประกอบที่ 2 / รูปประกอบที่ 3 / รูปประกอบที่ 4 / รูปประกอบที่ 5 / รูปประกอบที่ 6 / รูปประกอบที่ 7ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่ออ่านจบแล้วขอฝากกดติดตาม กด Like และ กด Share ของผมด้วยนะครับ พบกันใหม่เรื่องหน้า สวัสดีครับ