“ขอเป็นผ้าขาวม้า เคียงกายา ประชาราษฎร์ เพียงพาดบ่า พันเอว ยามอดสู เช็ดเหงื่อไคล ไหลย้อย ไม่เชิดชู ซับน้ำตา เคียงคู่ ยามโศกา”“เครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม” นามที่ถูกอุกอาจ / กล้าดี ขานเรียกโดยไม่เกรงใจใคร ตั้งแต่ปี 2548 หลังการได้พบกันในค่ายอาสาสมัครนานาชาติฯ ของกลุ่มคนหนุ่มที่หลงไหลและชื่นชอบการอ่านตำรานอกเวลา / วรรณกรรมคลาสสิค และกวีนิพนธ์ พร้อมๆ กับการดำเนินกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมในพื้นที่สงขลาและพัทลุงศักรินทร์ สีหมะ (อินทรธนู / ศิลป์กะรักษ์) ซึ่งในขณะนั้นกำลังรวบรวมกลุ่มเพื่อนฝูงและชาวอาสาสมัครต่างชาติก่อตั้งสมาคมอาสาสมัครนานาชาติฯ หรือ กลุ่มดาหลา เดินสายจัดค่ายอาสาสมัครพัฒนาชนบท ร่วมกับ อานัส หมัดหลี (ญาณ คีตกร) และ วิโรจน์ รัตนะ (อาบูฮาซัน) ซึ่งมีความหลงไหลอย่างลึกซึ้งต่อรสชาติของวรรณศิลป์ และการหารือเพื่อขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอักษรอันงดงามที่ประกอบรูปเป็นเรื่องสั้น นิยายและกวีนิพนธ์ ของคณะนักเขียนรุ่นใหญ่ อย่างเช่น กลุ่มนาคร และเหล่านักเขียนมืออาชีพต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ จนเกิดแรงดาลใจเข้มข้นในการนำเสนอเรื่องราวที่ต่างก็ได้พบเจอในค่ายอาสาสมัครนานาชาติฯ สู่สาธารณะด้วยทักษะการเขียนพื้นฐานของแต่ละคน ทั้งรูปแบบเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และบันทึกเชิงทัศนคติ จนได้ร่วมมือกันก่อตั้งกองบรรณาธิการวารสารรายวันเวลาที่เหมาะสม “MaD: Making a Diffarence” (พ.ศ.2548 - 2553) วารสารทำมือในนามสมาคมอาสาสมัครนานาชาติเพื่อการพัฒนาสังคม (ดาหลา) ที่รวบรวมเรื่องราวความเป็นไปในค่ายอาสาสมัคร ความงดงามของวิถีชนบท และการต่อสู้ของขบวนการภาคประชาสังคม จนเกิดความต่อเนื่อง ด้วยวิธีการผลิตอย่างง่ายตามข้อจำกัดด้านทุนและจำนวนผู้อ่านที่เฉพาะเจาะจงแค่สมาชิกในเครือสมาคมอาสาสมัครนานาชาติฯ (ดาหลา)จนปี 2550 สุพร กาลรักษ์ (กาลรักษ์) นักศึกษาเอกปรัชญา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับเพื่อนๆ ในนาม Peace Southern Thailand ที่ก่อตั้งโดยอับดุลเราะห์มาน มูเก็ม (AR. Mukem) ได้รวมกลุ่มกันเพื่อนำเสนอเรื่องราววิถีจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผ่านการแสดงดนตรีเปิดหมวกและการเดินทางสายสันติภาพ แวะเวียนมาเยี่ยมสำนักงานสมาคมฯ (ดาหลา) จนตกผลึกทางความคิดเห็นร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน ถูกทาบทามให้ร่วมขบวนแบบมัดมือชก จนมีวารสาร MaD ออกมาอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้น บวกกับการได้ร่วมกันก่อตั้งคณะดนตรี “โครมคราม”วงดนตรีเปิดหมวกที่รวบรวมเครื่องดนตรีสากลและพื้นบ้านจากหลากหลายพื้นที่มาผสานจนเป็นเสียงดนตรีที่บรรเลงขับกล่อมกันเองในค่ายอาสาสมัครและการตระเวนแสดงริมถนนเพื่อระดมทุนตามวาระต่างๆ อย่างต่อเนื่องอุดมการณ์ ความทรนงและเด็ดเดี่ยวเท่านั้นที่ผูกคนความคิดเห็นเดียวกันมาพบเจอ และเป็นพลังให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีเดียวกันก็ได้นำพา พิเชษฐ์ เบญจมาศ (ป่า เบญจมาศ) ไอ้หนุ่มผมยาวจากเมืองสุรินทร์, สานิต สายแก้ว (ธุมางค์) กวีหนุ่มจากเชิงเขาหลวง นครศรีธรรมราช และ จุฑิมาศ จันทร์ทอง (พี่ใหญ่ใจดี) เจ้าหน้าที่ประจำแท่นขุดเจาะนำ้มันในจังหวัดสงขลา มาพบเจอกัน ปลุกระดมแรงดาลใจเบื้องลึกของกลุ่มให้คุโชน จนเกิดแนวคิดการยกระดับสถานะกลุ่มเครือข่ายให้เด่นชัดยิ่งขึ้น บวกกับการสรรค์สร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนลำเลียงผลงานบางส่วนสู่สาธารณชนอย่างงดงามภายใต้ชื่อเต็ม “เครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม (บ้านผ้าขาวม้า)”และคณะดนตรี “วงโครมคราม” จนมี “บ้านผ้าขาวม้า”บ้านกลางนาหลังเล็กๆ ในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางของเครือข่ายในการพบปะหารือ ฝึกซ้อมดนตรี ปั่นต้นฉบับ และการสังสรรค์ประสาคนหนุ่ม วิโรจน์ รัตนะ (อาบูฮาซัน), อนัส หมัดหลี (ญาณ คีตกร), สุพร กาลรักษ์ และ จุฑิมาศ จันทร์ทอง คือผู้อาศัยหลัก ในขณะที่คนอื่นๆ อย่าง สานิตย์ สายแก้ว (ธุมางค์) แวะเวียนมาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย พร้อมๆ ไปกับการจัดเตรียมต้นฉบับรวมงานเขียนชุดแรกในนามเครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า”คือ “เอนกายพัก หนุนตักทะเล” (ชื่อจากแรงบันดาลใจในกวีนิพนธ์ของอาบูฮาซัน) เป็นงานรวบรวมกวีนิพนธ์และเรื่องสั้นระหว่างปี 2552 - 2554 ทว่าไม่ได้ตีพิมพ์ ถึงแม้ต้นฉบับและการออกแบบรูปเล่มจะเรียบร้อยสมบูรณ์ (ต้นฉบับถูกเก็บเข้าลิ้นชักจนถึงปัจจุบัน)ขณะเดียวกัน ศักรินทร์ สีหมะ (อินทรธนู) และพิเชษฐ์ เบญจมาศ (ป่า เบญจมาศ) ก็เลือกที่จะลงหลักปักฐานอยู่ในอำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยพิเชษฐ์ เลือกทำงานด้านการวิจัยเพื่อท้องถิ่น (สกว. สตูล) ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา ขณะเดียวกันก็ยังคงอ่านและเขียนงานด้านกวีนิพนธ์และเรื่องสั้นเผยแพร่อยู่เสมอ ส่วนศักรินทร์ เลือกใช้ชีวิตสันโดษในเพิงพักริมคลองติงหงี และผืนป่าโกงกาง (เรือนศิลป์กะรักษ์) ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับชาวบ้านและธรรมชาติ ก่อนก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชน “โรงเรียนคลองโต๊ะเหล็ม” ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ รวมถึงลงมือเรียบเรียงผลงานจนได้ตีพิมพ์จำนวน 2 เล่มในปี 2556 คือ บทตริตรองชีวิต “จนกว่าวันเวลาจะเหมาะสม” และ รวมเรื่องเล่าชุดที่ 1 “ท้องฟ้าและชีวิต”จากนั้นได้แต่งงานร่วมชายคากับ ซานียะห์ สาลีหวัง (ปัจจุบันใช้นามสกุล“สีหมะ”) และยัดเยียดความเป็นนักเขียนให้แก่เธอ จนได้เรียบเรียงผลงานเล่มแรกเป็นทายาทสืบทอดเจตนารมณ์ “เรื่องของฉัน”(พ.ศ. 2557) เรื่องเล่าบททดสอบแห่งชีวิตที่เคยเผชิญความเจ็บปวด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ จัดพิมพ์ในนามวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า” โดย ซานียะห์ หนังสือถูกจัดจำหน่ายเพื่อหารายได้สมทบทุนศูนย์เรียนรู้ชุมชน “โรงเรียนคลองโต๊ะเหล็ม”และเป็นของขวัญแจกจ่ายผู้ป่วยมะเร็ง และโรคอื่นๆ ประกอบการบรรยายเยียวยาผู้ป่วยโดยผู้เขียน ณ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ บ้านผ้าขาวม้า” และ วงดนตรี “โครมคราม” จึงถูกปิดตัวลง หลังการแยกย้ายหาพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคนในปี พ.ศ.2554 โดย อนัส หมัดหลี (ญาณ คีตกร) เลือกที่จะเรียนต่อ สาขาปรัชญา ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จนจบการศึกษาก่อนย้ายตนเองกลับบ้านเกิดในจังหวัดพัทลุง, สุพร กาลรักษ์ (กาลรักษ์) ย้ายตนเองเข้าทำงานกับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เขียนและเรียบเรียง บันทึกเชิงทัศนคติ จนได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของตนเอง “ เดินตามรอยฝัน”เรื่องเล่าจากปลายด้ามขวานที่มุ่งหวังให้สังคมดีงามบนเส้นทางแห่งมิตรภาพ รายได้ส่วนหนึ่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนใต้ ก่อนตัดสินใจลงหลักปักฐานและดูแลธุรกิจส่วนตัวที่ปราญบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันต์ .. ด้านจุฑิมาศ จันทร์ทอง ตัดสินใจลาออกจากงานประจำในจังหวัดสงขลา มุ่งหน้าเดินทางตามหาฝันในประเทศ อเมริกา อินเดีย เนปาล ฯลฯ ก่อนกลับมาสร้างพื้นที่เล็กๆ ที่ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน (พื้นที่การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนฝูง และดำรงชีวิตเรียบง่ายตามประสา) วิโรจน์ รัตนะ (อาบูฮาซัน) และ สานิตย์ สายแก้ว (ธุมางค์) เลือกเดินทางขึ้นเหนือ เจอกับ ฐิฏิยา รวยรื่น (ศิ’มนตรา) นักเขียนนวนิยายแนวโรแมนติกและกวีนิพนธ์ ก่อนลงมือกันทำโครงการสร้างห้องสมุดบ้านดิน แบ่งยิ้ม เติมฝัน สู่น้อง โรงเรียนริมฝั่งหว้า อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยการระดมทุน และจัดพิมพ์หนังสือ “คืนชีพกวี”รวมผลงานคนรักกลอน ประเทศไทย จัดจำหน่ายและนำรายได้มาจัดค่ายสร้างห้องสมุดบ้านดิน จากนั้นจึงลงมือลงแรงกันก่อตั้งสำนักพิมพ์ในนาม “เอกเขนกสำนักพิมพ์”จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือ นำร่อง 3 เล่มแรก คือ “โดยสารมาบนคราบน้ำตา”โดย ธุมางค์, “ในเงาฝัน” โดย อาบูฮาซัน และ “เสี้ยวคำนึง ถึงวารวัย” โดย ศิ’มนตรา (พ.ศ. 2556)ขณะเดียวกัน ศักรินทร์ สีหมะ (อินทรธนู) ก็ได้รับทาบทามจากมูลนิธิสมชาย นิละไพจิตรให้เป็นบรรณาธิการวารสาร “Just Peace” รายปักษ์ จึงถือโอกาสรวบรวมผลงานของเพื่อนฝูงในเครือข่ายฯ บรรจุในวารสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนวารสารปิดตัวลงในปีถัดมา การไปมาหาสู่ สังสรรค์ และการสื่อสารระหว่างเครือข่ายฯ ถูกตัดขาด.. แต่ละคนค้นพบความสุข สงบ และวิถีแห่งตน มีเพียงการพบเจอโดยบังเอิญ การส่งข้อความ / จดหมายหากันบ้างเป็นครั้งคราว และความคิดถึง ที่เป็นมวลพลังให้ระลึกถึงคืนวันเก่าๆ กัน..อยู่บ้างถึงปี พ.ศ. 2561, ความทรงจำในห้วงลึกของดวงใจมันรุ่มร้อนเกินห้ามไหว ภาพเก่าๆ ในห้วงอดีตที่เคยโลดแล่นกันอย่างห้าวหาญ เข้ามาเขย่าจิตใจให้ต้องหวนรำลึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน.. จนต้องหาเวลาพบเจอกัน จดหมายถึงกัน โทรถามสารทุกข์สุกดิบกัน เหมือนวัยรุ่นชายโทรเกี้ยวพาราสีสาวแรกรุ่น :) บ้างหาจังหวะพบเจอ ผูกเปลนอน ก่อไฟตามเกาะแก่ง ริมห้วย หรือชายป่า เชิงเขา - บ้างขับรถพาสมาชิกครอบครัวเยี่ยมเยียนกันดั่งญาติมิตร..ถึงกระนั้น.. เราถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว อิทธิพล (พลัง) เบื้องลึกที่เกาะกุมหัวใจเราอยู่แนบแน่นนั้น หาได้มีเพียงมิตรภาพและรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะใดๆ หากเป็นมวลพลังของงานวรรณศิลป์ต่างหาก ที่ยังคงฝังรากลึก แอบซ่อนตัวอย่างสงบ และไหลรินออกมาชโลมดวงใจอย่างอ่อนไหวอยู่ทุกครา..และสม่ำเสมอ (เรารับรู้ถึงสัจธรรมข้อนี้ร่วมกัน)จนมีการจัดทำ FACEBOOK Page: เครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า”ไว้เป็นพื้นที่กลางให้ได้ติดตามผลงานของกันและกันบ้าง.. ถึงแม้ขั้นตอนการแปรรูปอารมณ์และความรู้สึกมาเป็นกวีนิพนธ์และงานเขียนประเภทอื่นๆ จะต้องขัดแย้งกับภาระหน้าที่และเวลาของครอบครัวแต่ละคนอยู่บ้าง แต่หน้า Page ก็ไม่เคยว่างเว้น ยังคงมีผลงานออกมานำเสนอให้ผู้ติดตามกลุ่มเล็กๆ ได้สตรับอยู่บ้าง อย่างน้อยอาการปวดเมื่อยตรงดวงใจที่โหยหาบางอย่าง ได้ถูกบรรเทาให้ผ่อนคลายลงบ้าง ไม่มากก็น้อย..การเดินทาง มิตรภาพ และวรรณศิลป์.. เสมือนวิญญาณที่กำหนดกระดูกและเนื้อหนังของเครือข่ายให้ก้าวย่างอย่างคล่องแคล่วและมั่นคงอยู่เสมอ เราต่างพบเจอสังคม และเรื่องราวที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการได้พบเจอมิตร และการได้เข้าถึงผลงานอันเป็นที่รักของเขา.. ต้นปี 2561 เราชักชวนมิตรเข้าร่วมเครือข่ายอีก 2 ท่านคือ(1.) ดร.อับดุลเราะห์มาน มูเก็ม (AR.Mukem) มหาบัณฑิต ป.เอก ด้านการเมืองการปกครองจากมหาวิทยาลัยอากีลาร์ ประเทศอินเดีย ผู้บุกเบิกโลกกิจกรรมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในนาม Peace Southern Thailand, นักเขียนบทความ เรื่องสั้นและกวีนิพนธ์ที่เชี่ยวชาญด้านเอเชียอาคเนย์ และสังคมชมพูทวีป ทั้งในด้านของชาติพันธุ์ มานุษยวิทยา และการเมือง(2.) วินิต พลนุ้ย นักอ่าน นักคิด และนักเขียน จากภูมิประเทศเขตป่าเขาเทือกบรรทัด อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง, ข้าราชการหนุ่มเครายาว มีดวงตาที่ส่อให้เห็นดวงใจอันเฉียบแหลม.. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับครอบครัวที่อบอุ่น จัดกิจกรรมเพื่อรักษาพันธุ์ไม้ท้องถิ่นและระบบนิเวศป่าเขาร่วมกับมิตรในชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมด้านการอ่าน-เขียนอย่างเป็นนิจ มีการเขียนบทความเชิงบันทึกทัศนคติและเรื่องเล่าอยู่บ้าง บนสเตตัส FACEBOOK ส่วนตัว..ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเขียนบรรจุทุกๆ เหตุการณ์ เรื่องราว ความรู้สึก และคุณค่าของวันวารบนพื้นที่อันจำกัดของปัจจุบัน ในเมื่อแผ่นกระดาษอันว่างเปล่าของวันพรุ่งนี้มันล่อลวงให้เรามัวแต่นึกฝันถึงวันข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ.. หลังได้โทรศัพท์หากัน ส่งข้อความผ่านสื่อวิทยาการสมัยใหม่สนทนากัน จนออกรส จึงเห็นร่วมที่จะต้อง “สร้างโอกาส”เพราะโดยธรรมชาติของแต่ละคนล้วนไม่มีใครที่เป็นคน “เฝ้ารอโอกาส” เราต่างเป็นโรคความดันที่ไม่เคยหายกันสักที จิตใจที่ดันทุรังในการคิด ฝัน และสร้างสรรค์ มันไม่เคยหยุดนิ่ง แม้นบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนจะเหนี่ยวรั้งให้เกิดความยากเย็นก็ตาม เราก็ยังดัน! ดันทุรังที่จะพบเจอกับสิ่งที่รัก และรักเสียจนเกือบลุ่มหลงปลายปี 2562 ป่า เบญจมาศจึงต้นคิดเรื่องค่ำคืนที่ฟุ้งกระจายด้วยละอองเกษรกวีนิพนธ์ รอยยิ้มของมิตรสหายและแสงจันทร์ที่สาดส่องผิวโลก.. จึงเป็นที่มาของนาม “กุมภาฯ - จันทร์” งานราตรีสาระสังสรรค์ของกลุ่มเพื่อนฝูงเครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า”, ผู้ถูกใจและติดตาม FACEBOOK Page เครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคมฯ, นักอ่าน, นักเขียน, นักวิชาการ ผู้ชื่นชมหรือผู้รักและชื่นชอบวรรณศิลป์ ได้มีโอกาสพบเจอกันท่ามกลางบรรยากาศ “ราตรีสาระ-สังสรรค์”ตามแบบฉบับของเครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า..ต้นปี 2563, วันเสาร์ที่ 29 เดือนกุมภาพันธ์ (ขึ้น 7 ค่ำ เดือนสี่ ปีกุน) จึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดในการพบเจอ, โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็นสองภาค คือ ภาคบ่าย (13:00 - 16:00 น.) กิจกรรมเสวนาค้นหาความหมาย วรรณกรรมคู่สังคม เวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนจากนักเขียนและกวีต้นแบบ ที่จะนำผู้เข้าร่วมผจญภัยในโลกมหัศจรรย์ของวรรณศิลป์และความหมายแห่งวรรณกรรมกับสังคม รวมถึงองค์ปาฐกถา ที่จะบอกเล่าถึงอิทธิพลของงานวรรณศิลป์กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมส่วนภาคค่ำ (20:00 น. เป็นต้นไป) กิจกรรมราตรี สาระ-สังสรรค์ พบกับดนตรีสังคม (Social Music) การแสดงศิลปะแขนงต่างๆ และการอ่านกวีนิพนธ์ประกอบดนตรี.. ท่ามกลางมิตรภาพและแสงจันทร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือนสี่ ปีกุนคำปรารถนา ปี 2563 เป็นแค่การเกริ่นนำถึงเรื่องราวก่อนกาลก่อเกิดภารกิจเบื้องหน้า.. เรามิอาจคาดการได้ถึงความเรรวน / ปรวญแปร ของกระแสคลื่นลมในทะเล และสายลมในคืนหนาวได้ฉันใด อนาคตก็ย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจคาดเดาได้ฉันนั้น.. อนาคตจึงเป็นได้เสมือนกระดาษขาวที่วางตรงหน้า รอคอยการบรรจง / ลงมือเขียนอย่างประณีตให้เป็นเรื่องราว.. เรามิอาจเพียงแค่ฝันหรือแค่คิด เพราะนั่นเป็นเพียงแค่มโนภาพจำลองที่ฟุ้งเฟ้ออยู่กลางอากาศ จับต้องไม่ได้, รูปธรรมที่แท้จริงย่อมเกิดจากการปฏิบัติ มุ่งมั่นอุตสาหะ และเพียรพยายาม.. ความฝันที่เพ้อเจ้อและน่าเกลียดยิ่ง คือความฝันที่สูญสลายไปพร้อมกับการตายจากของมนุษย์ผู้หนึ่ง..ในนามของวรรณกรรมคู่สังคม “บ้านผ้าขาวม้า” เราจึงขอนำเรื่องราวในอดีตมาปรุงรสใหม่อีกครั้ง ด้วยกรรมวิธีของวิทยาการสมัยใหม่ที่จะยกระดับคุณค่าเพิ่มให้กับการแปรรูปความฝันให้เป็นผลงานอันทรงคุณค่าสู่สังคม.. 29 กุมภาพันธ์ 2563 (กุมภาฯ - จันทร์) จึงถือเป็นการลั่นกลองรบ! แล้วเราจะรบอย่างนักสู้! (ร่วมกันอีกครั้ง)ขออภัย.. หากคำปรารถนายุแหย่ และให้ความหวังจนเกินไป, แต่ขอให้เชื่อในสิ่งที่ท่านเพิ่งอ่านไป..“วรรณกรรมคู่สังคม ของผู้ดำรงตนเพื่อสังคม, เช่นนี้แหล่ะ.. คือความปรารถนาร่วมของเรา”จนกว่าวันเวลาจะเหมาะสมอินทรธนู (ศักรินทร์ สีหมะ)ภาพประกอบโดย: เครือข่ายวรรณกรรมคู่สังคม "บ้านผ้าขาวม้า"