photo : @neo สึนามิ ปี 2547 เป็นเหตุการณ์แห่งความทรงจำของชีวิต และทำให้หลายคนได้รู้จักว่า สึนามิ คืออะไร จะรับมือกับมันได้อย่างไร ส่วนตัวผมหากให้เล่าถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ว่าชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับสึนามิมากน้อยแค่ไหนนั้น บอกได้คำเดียวว่าใกล้แค่ลมหายใจ ใครจะคิดว่าการพบเจอกับเพื่อนเก่าสมัยหนุ่ม ๆ นั่งเล่ารำลึกความหลังกันวันเก่าตั้งแต่เย็นวันที่ 25 ธันวาคม จนเวลาล่วงเลยมาจนจะเที่ยงคืนเข้าสู่วันที่ 26 เกิดครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ ดันชวนกันนั่งรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าขี่รถเที่ยวชมวิวเมืองภูเก็ต จบที่หาดป่าตองก็ปาเข้าจะตี 3 นั่งๆ นอนๆ นับดาวกันสักพักหนึ่งก็ปาเข้าจะตี 4 มองตาก็รู้ใจเอาละ ได้เวลากลับบ้านกันแล้ว พรุ่งนี้มีงานเช้ากันทั้งสองคน ก็เป็นอันสรุปว่าส่งเพื่อนถึงบ้าน เราก็กลับบ้านนอน พอเช้าตี5 หรือ6โมง ก็จำไม่ได้รู้สึกเหมือนใครเอาค้อนอันใหญ่มาทุบบ้าน กะให้บ้านเราพังแน่เลยใครนะมันช่างใจร้ายกับเราจริง จะนอนซะหน่อยก็ไม่ได้ มาทุบบ้านเราอยู่ได้ แต่ด้วยความง่วงก็ยังข่มตาหลับต่อจนถึง 7 โมงเช้า ต้องกระโดดลงจากที่นอนแทบไม่ทัน อุ๊ยตายละหว่าวันนี้ประชุมเช้านี่นา เดินเข้ามาในที่ทำงานเห็นเพื่อนร่วมงานกำลังดูข่าวอะไรกันอยู่เราก็ไม่ได้สนใจได้ยินเสียงแว่ว ๆ มา หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ก็เริ่มดึงสายตาของเราให้เข้ามายังกลุ่มที่เขาดูข่าวในทีวีกันอยู่ "สึนามิ" คลื่นยักษ์สึนามิ เข้าสู่หาดป่าตองจังหวัดภูเก็ตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อาคาร บ้านเรือน ถูกคลื่นพัดกระหน่ำ ผู้คนลอยตามกระแสน้ำ หลังจากนั้นข่าวสารจากทุกสารทิศก็เริ่มประโคมข่าวสึนามิที่เกิดขึ้น ทั้งในจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และในเขตชายฝั่งอ่าวไทย ส่วนเราเองกับเพื่อนที่ทำงานก็ช่วยกันรวบรวมเงินคนละเล็กละน้อย ซื้อข้าวกล่อง น้ำดื่มและของใช้จำเป็นพากันไปบริจาคให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่หาดป่าตอง โดยยังคงมีคำถามแบบสงสัยตัวเองว่าถ้าเมื่อคืนเรายังนอนเล่นกันต่อเราคงอยู่ในคลื่นสึนามิที่หาดป่าตองด้วยเช่นกัน ผ่านมาสักเดือนกว่า ๆ สิ่งปลูกสร้าง โรงแรม ร้านค้า บ้านเรือนเริ่มได้รับการซ่อมแซม ปรับปรุง ทั้งคนไทยเองและนักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุการณ์ต่างก็พยายามที่จะกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ พยายามทิ้งความทรงจำที่เลวร้ายไว้ แล้วก้าวต่อไป 2547 ลบ 2563 เสียงความคิดในใจเพื่อหาคำตอบว่ากี่ปีแล้วที่เหตุการณ์นี้ผ่านมา ผ่านไป 16 ปี เหมือนชีวิตเราเองก็จะผูกพันกับหาดป่าตองเสียเหลือเกินเมือ 2547 เคยเป็นหนุ่มออฟฟิศ ทำงานในเมืองภูเก็ต 2563 วิถีชีวิตก็เปลี่ยนแปรไปตามกระแสแห่งเงินตรา ถ้าเรียกให้สวยก็ว่าตามประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ผมเองผันตัวเองมาทำงานด้านการโรงแรมแถวหาดป่าตองเก็บหอมรอมริบ ซื้อโน่น สร้างนี่ (หนี้) ขายนั่นไปเรื่อยตั้งใจปี 63 จะเก็บเงินสักก้อน จนมาได้รู้ข่าว อู่ฮั่น ไวรัสอู่ฮั่น ไวรัสติดจากค้างคาว เริ่มมาก็ปลายปี 62 ต้นปี 63 ข่าวการระบาดก็เพิ่มมากขึ้นจนโรงแรมที่ทำงานอยู่เริ่มได้รับผลกระทบ อะไรนะหรือครับ photo : @neo photo : @neo เริ่มจากนักท่องเที่ยวลดลง เซอร์วิสชาร์ท หดหายไป จนได้ทำความรู้จักกับศัพท์ใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยอยากได้ยิน เช่น leave with out pay เอาละสิครับ ต้องเริ่มลาหยุดแบบไม่รับเงินกัน จากที่เคยทำงานทุกวันก็เป็นทำวันเว้นวัน ทำงานอาทิตย์ละ 3 วันบ้าง จนเมื่อเราชินชากับ WOP วิบ วิบ วับ วับ แล้ว ก็ได้ศัพท์ใหม่มาอีกคับ เช่น Work At Home อุ้ย อุ้ย ๆ เออแฮะมันน่าจะดีนะยุคใหม่เราทำงานที่บ้านกันได้ เราเป็นพนักงานยุคใหม่ก็ต้องปรับตัวเองให้ทันสมัย ทำงานออนไลน์ แอปใหม่ทั้งจากค่าย google meeting เอย zoom เอย ก็ถูกนำมาใช้ ทำงานที่บ้านกันได้ไม่กี่วันก็มีคำสั่ง ศบค. มาปิดตำบลเอาละสิคราวนี้ปิดตำบล จะทำอะไรดีละทีนี้ 108 คำถามเริ่มประดังเข้ามาทั้งเรื่องของรายได้ ค่าใช้จ่าย การงานเอย อนาคตเอย ซึ่งไม่มีคำตอบจากสมองของตัวเอง ตืนเช้าขึ้นมาจากคนที่เคยมีงานทำไก่ขันต้องรีบอาบน้ำไปทำงาน แต่วันนี้.... นั่งมองอะไรหน้าบ้าน แก้วกาแฟ 1 ใบ กาแฟร้อน ๆ จิบ หันไปบ้านข้างๆ เหมือนมีเพื่อนบ้านอาการเดียวกันคือไม่มีงานจะทำ แล้วเมื่อจิบกาแฟเสร็จก็ต่อด้วยดูทีวี ตกเย็นเดินเล่น ปลูกผักสวนครัว (อันดีดูมีความหวังมานิด) เอาไว้กินในบ้านซ้ำซากอยู่เกือบเดือน นั่งลุ้น ศบค. วันนี้จะมีโควิดมั้ย โควิดกี่คน เปิด facebook ตำบลฉัน จังหวัดเธอมีโควิดกี่คน แล้วก็เป็นหัวข้อเสวนาเมื่อเพื่อนบ้านมาพบกันในตอนเย็น ๆ ตกค่ำก็บริโภคข่าวกันต่อก่อนนอนก็เอาตีนก่ายหน้าผากถึงจะนอนหลับกันได้ อันนี้แค่เบาะๆ เมื่อถึงเวลาของจริงมาถึงเมื่อโรงแรมที่ทำงานอยู่ไม่มีรายได้ นักท่องเที่ยวไม่มี จะใช้วิธีไหนก็คงจะไม่พ้นต้องปิดกิจการ (ซวย ถาวรละตูคราวนี้) ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อไป หลังจากได้รับข่าวร้ายนี้ขับรถไปทางไหน ก็มีร้านขายหมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ ผลไม้สด ข้าวต้ม สารพัดจะขายกันไป เราก็เข้าใจว่าทุกคนก็ต้องดิ้นรนที่จะเอาตัวรอดด้วยกันทั้งนั้น แม้จะรู้ว่าขายยากกำลังซื้อของคนน้อยลงแต่ก็จำเป็นต้องทำไป แต่สำหรับเราตอนนี้ขอเป็นหมีจำศีลก่อนอะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดรอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อไรจะมาสักที มีนา เมษา พฤษภา กรกฎา และสิงหา ห้าเดือนแล้วที่เราเผชิญกับปัญหา โควิด 19 ความหวังอย่างแรงกล้าที่ทุกคนต่างพูดถึงก็คือ “วัคซีน” ไม่ว่าจะเป็นใครผลิตได้ก็นับเป็นข่าวดีของโลกเลยก็ว่าได้ แต่หากคิดตามความน่าจะเป็นแล้วขั้นตอนของการทำวัคซีนนั้นยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพื่อทำการทดลองในมนุษย์ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะได้มาซึ่งวัคซีนเพราะประเทศมหาอำนาจคงจะจองคิวกันไว้ยาวเหยียดประเทศไทยเองก็คงจะต้องรอกันไปอีกนานแต่ปัญหาหลักสำหรับผมในตอนนี้คือการหาช่องทางทำมาหากินที่จะทำให้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งความหวังก็ไปอยู่กับ ศบค. ในการดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ photo : @neo photo : @neo โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ทั้งการจัดทำโปรโมชันต่าง ๆ ลดค่าที่พัก ลดค่าอาหาร ลดค่าตั๋วเครื่องบิน สารพัดเทคนิคส่งเสริมการขายเพื่อให้คนได้ออกมาท่องเที่ยว แถมยังมีวันหยุดยาวพิเศษจากภาครัฐเพื่อสร้างแรงจูงใจในการท่องเที่ยวอีกต่าง หาก แต่..... ภูเก็ต .... ไข่มุก แห่งอันดามัน เมืองที่เคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยังคงเงียบงัน เงียบเหมือนป่าช้า เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภูเก็ตนั้นส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งปัจจุบันหากมองที่ตัวเลขของผู้ป่วยโควิด 19 ในต่างประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นจะแตะ 24 ล้านคนนั้น ผมเองยังมองว่าเป็นเรื่องยากที่ประเทศเราจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่เต็มไปด้วยผู้ป่วย เต็มไปด้วยความเสี่ยงเพราะหากเกิดการระบาดรอบ 2 อย่างรุนแรงในประเทศของเรานั้นก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น ไม่ได้มีตรรกะอะไรมากเพราะแค่ดูจากระบาดครั้งแรกเรายังเดือดร้อนไม่มีอันจะกินกันขนาดนี้ รัฐต้องกู้เงินมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน 1 ล้านล้านบาท หากเจอรอบสองอีก ความบรรลัยคงมาเยือนเป็นแน่ หากแต่ ความหวังเล็ก ๆ ที่ ศบค. มอบให้คือ Alternative Local State Quarantine (ALSQ) หากมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้ามาก็อาจช่วยให้เกิดรายได้แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งถ้าหากคิดถึงความเสี่ยงในการระบาดของ โควิด 19 กับคำว่าอดตายแล้ว ผมว่าผมเลือกที่จะเสี่ยงเพราะหากเราไม่เริ่มที่จะก้าวไปข้างหน้าในวันนี้แล้วก็คงยากที่จะฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตได้กลับมาดีเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ร้ายกว่า “สึนามิ” ก็คงเป็นโควิด 19 ร้ายกว่า “โควิด 19” คือไม่มีข้าวจะกิน