งานวิ่งพี่ตูน ก้าวคนละก้าว ภาคใต้ @ ภูเก็ต . เป็นอีกงานที่เราชักชวนล่วงหน้ากันเป็นเดือนว่าจะพากันไปปล่อยของ หลังจากที่ซักซ้อมกันมา จนคิดว่าวิ่งได้ไม่อายลุงอายป้าแน่นอนแล้ว เรามากัน 4 คน มีผมกับน้องชาย และเพื่อนเราอีก 2 สาว ซึ่ง 1 ใน 2 นั้นเป็นการลงวิ่งแข่งขันงานแรก ก็จะตื่นเต้นกว่าใครเป็นพิเศษ แถมงานนี้เป็นงานที่มีคนเยอะมาก รวม ๆ แล้วก็หมื่นสามพันกว่าคน . ก็แหงหละฮะ...งานใหญ่ระดับชาติขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากมาเจอพี่ตูน!! . . เรานัดหมายกันก่อนล่วงหน้า (ด้วยความ Proactive) ว่าจะขับรถไปเจอกันกลางทางแล้วคาร์พูลไปด้วยกัน เพราะคนขนาดนี้รถต้องติดแน่ ๆ ระหว่างทางฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่บรรยากาศในรถก็ยังสดชื่นแจ่มใส เราร้องทุกเพลงที่ดังขึ้นมาจากเครื่องเสียงรถ นับว่ากำลังใจพวกเราดีเยี่ยม . พอมาถึงจุดจอดรถของงานซึ่งเป็นที่หมายที่เราจะจอดรถทิ้งไว้ แล้วนั่งรถรับส่งของงานเข้าไปที่จุดสตาร์ท ฝนก็ยังคงไม่หยุดตก เราซักซ้อมพิธีการกันในรถไว้ก่อนอย่างดิบดี เครื่องมือสื่อสารเราจะเก็บไว้ในรถ วิ่งเสร็จแล้วเราจะไปเจอกันที่ 50 ก้าว หลังเส้นชัยด้านขวามือ (Proactive อีกแล้ว) แต่งเนื้อแต่งตัวกันจนมั่นใจว่าภาพลักษณ์เราจะยังดูดีอยู่หลังวิ่งเสร็จ ก็พอดีกับที่ฝนหยุดตก แล้วเราก็เดินไปอีกนิดเพื่อขึ้นรถรับส่ง . งานนี้ใช้รถโพถ้อง หรือสองแถวไม้สไตล์ภูเก็ตเป็นรถรับส่ง นั่งกันมาไม่นานนักก็มาถึงสถานที่ที่ใช้เป็นจุดปล่อยตัว ซึ่งมีเวทีจัดงานสุดยิ่งใหญ่ แต่ใหญ่กว่านั้นคือเต้นท์ติดแอร์ของศิลปินดาราที่มาร่วมวิ่ง (ดูจากขนาดเต้นท์แล้วคงน่าจะมากันหมดค่าย) ส่วนบรรยากาศโดยรอบก็เป็นเต้นท์ของสปอนเซอร์เจ้าต่างๆ โชคไม่ดีที่ฝนที่ตกลงมาทำให้พื้นตรงนั้นเกิดเป็นหลุมเป็นแอ่งน้ำขังอยู่เยอะมาก โค้ชบอกเราให้พยายามระวังไม่ให้รองเท้าเปียก เพราะมันจะลดทอนพลังในการวิ่งของเราไปเยอะมาก (สำหรับงานวิ่งทุกงานเราจะเรียกแอดมินน้องชายผมว่าโค้ช เพราะนางเป็นคนเอาศาสตร์การวิ่งมาเผยแพร่ให้พวกเรา จนตอนนี้เราเริ่มเสพติดการวิ่งตามนางไปแล้ว) . . ฟ้าเริ่มครึ้ม เหมือนฝนจะตกลงมากอีกครั้ง แต่ก็มีคนอีกมากที่ปักหลักต่อแถวเพื่อรอจะเข้าช่องปล่อยตัว โค้ชของเราประเมินสถานการณ์แล้ว คิดว่าควรหาที่หลบฝนกันก่อนที่คนจำนวนมากนั้นจะไหวตัวทันแล้วมาแย่งที่หลบฝนกัน 555 (Proactive มากโค้ช) . หนึ่งในสถานที่หลบฝนที่เราเล็งไว้คือ บูธน้ำมันมวย ซึ่งดูแล้วเป็นชัยภูมิที่ดีที่สุด บูธโล่ง มีน้ำมันให้นวดระหว่างรอ แถมยังเป็นบูธที่ปิด 3 ด้าน ยากแก่การจะมีใครเบียดเราเข้ามาจากด้านข้าง (Proactive มั้ยหละ) และเป็นโชคดีของเราที่เจ้าของบูธน่ารักและอัธยาศัยดีมาก ทุกอย่างเป็นไปตามคาด ฝนตกลงมาหนักมาก กลุ่มคนตรงกลางลานแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรัง บูธน้ำมันมวยของเราเริ่มเต็ม บูธขนาดไม่ใหญ่ เริ่มแน่นจากผู้คนที่พยายามเข้ามาขอหลบฝนบ้าง โค้ชของเรายิ้มอยากภาคภูมิใจ . สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ทำให้งานเริ่มช้าไป 1 ชั่วโมง กว่าจะปล่อยตัวบล็อกแรกก็เกือบ 5 โมงแล้ว อย่างที่บอกว่างานนี้คนร่วมวิ่งนั้นเยอะมากจริง ๆ จึงต้องปล่อยตัวออกเป็นบล็อค ๆ เพื่อกระจายคนไม่ให้หนาแน่นเกินไป เราได้วิ่งเป็นบล็อคที่ 3 ระหว่างที่อยู่ในบล็อครอนับถอยหลังเพื่อปล่อยตัว 2 สาวเริ่มตื่นเต้น โค้ชเริ่มทวนแผนที่เราซักซ้อมกันมาตามขั้นตอน พร้อมบอกให้เปิดนาฬิกาเตรียมไว้ . 🏃 . สัญญาณปล่อยตัวดัง 10.6 กม.หลังจากนี้คือเส้นชัย เราเริ่มออกตัวไปบนถนนพร้อมกับคนอีกเป็นจำนวนมาก มากจนเราวิ่งไม่ถนัด และเคลื่อนที่ช้ากว่าที่คิดไว้ โค้ชเร่งสปีดนำหน้าไปก่อน ตามด้วย 2 สาวที่วิ่งประกบคู่กันไป ผมอยู่หลังสุดเพราะติดกลุ่มคน และต้องการเก็บแรงไว้สำหรับระยะที่เหลือ งานนี้ตั้งใจไว้ว่าจะทำเวลาให้ดีที่สุด ด้วยการไม่หยุดเดินและบริหารเรี่ยวแรงให้ดีที่สุดตลอดระยะทางวิ่ง ยังไงต้องให้โค้ชน้องชายของผมภูมิใจให้ได้ ว่าพี่มันก็เก่งเหมือนกัน . 💪 . วิ่งเก็บแรงมาได้เรื่อย ๆ จนเกือบถึงกม.ที่ 2 ก็ทันกับสองสาวพอดี หันไปส่งสัญญาณให้รู้ว่าไปเจอกันที่เส้นชัยนะ แล้วก็เร่งสปีดแซงขึ้นไป ระหว่างนั้นบอกกับใจตัวเองว่าถ้าไม่หิวน้ำจริงๆ จะไม่แวะตามจุดรับน้ำให้เสียเวลาเด็ดขาด ถึงแม้งานนี้จะไม่มีถ้วยรางวัลให้กับคนวิ่งดี แต่ยังคงบอกตัวเองไว้ว่า "วิ่งให้ดี" . การวิ่งในกลุ่มคนเยอะๆ นั้น มีอุปสรรคตรงที่บางคนก็ไม่ได้ตั้งใจมาวิ่งจริงๆ มีทั้งไลฟสด มีทั้งเซลฟี่ มีทั้งถ่ายรูปดารา ไม่เป็นไรคิดว่าเสริมสกิลการวิ่งซิกแซ็กไปในตัวละกัน ผมเริ่มเร่งสปีดแซงคนเหล่านั้นมาเรื่อยๆ และยังคงแน่วแน่กับความตั้งใจว่าจะไม่หยุดพัก แม้จะเจอเนิน แม้จะเจอจุดพัก ยังคงท่องในใจว่า "วิ่งให้ดี" . วิ่งไปด้วยความหวังว่าอาจจะเห็นหลังโค้ชอยู่ข้างหน้าริบๆ แต่ก็ไม่เลย (คนอะไรวิ่งโคตรเร็ว) ระหว่างนั้นก็สุขใจกับการวิ่งแซงกลุ่มคนไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดคน ถนนยังคงแน่นไปด้วยนักวิ่ง จนต้องแอบวิ่งกินเลนออกไปบ้างเพื่อแซงขึ้นหน้า . ตลอดสองข้างทางยังคงมีคนยืนส่งกำลังใจให้นักวิ่งเป็นระยะๆ โชคดีที่ฝนไม่ตกแล้ว แต่เสื้อก็เปียกชุ่มด้วยเหงื่ออยู่ดี แรงเริ่มหมดไปตามระยะทางที่วิ่ง ตรงจุดให้น้ำ กม.ที่ 6 ผมเบี่ยงเข้าข้างทางไปรับน้ำมาจิบแล้วราดตัว ความเย็นสดชื่นของน้ำทำให้ร่างกายฮึดขึ้นมาอีกครั้ง . . กัดฟันวิ่งจนผ่านมาแล้ว 8 กิโลเมตรกว่าๆ บอกตัวเองไว้ว่าเหลืออีก 2 กิโลเมตรสุดท้าย เกร็งหน้าท้องแล้วดึงพลังก๊อกสุดท้ายออกมาใช้ตามที่โค้ชสอน กระซิบบอกขาตัวเองว่าทนอีกนิดนะแล้วเร่งสปีดให้เร็วขึ้น ฮึ้บ ๆ ๆ มองดูนาฬิกาตอนนั้น ผ่านไปแล้ว 50 นาทีกว่าๆ ความหวังเล็กๆ ว่าจะวิ่งให้น้อยกว่า 1 ชม.น่าจะริบหรี่ . กัดฟันวิ่งมาไม่หยุด จนผ่านกิโลเมตรที่ 10 แล้ว เหลือเศษของระยะทางอีกแค่ 600 เมตร พ้นโค้งสุดท้ายจำภาพได้ติดตาคือป้ายโรงแรมหนึ่ง วิ่งพ้นไปก็มองเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า เร่งสปีดวิ่งแซงไปทีละคนสองคน นึกในใจว่าอย่าตายหรือล้มตอนนี้ หูเริ่มได้เสียงหัวใจเต้นดังกว่าเสียงเชียร์จากสองข้างทาง พอคิดว่าเราทำได้ น้ำตาเหมือนจะทะลักออกมา ขายังคงสับไปเรื่อยๆ อีกนิดเดียว . 🏁 . 50 เมตรสุดท้าย เส้นชัยอยู่แค่เอื้อมมือไป ยังจะขอแซงอีก 2-3 คนให้สะใจหน่อย และแล้วก็ทำได้ ก้าวสุดท้ายที่ได้แตะเส้นชัย อยากจะร้องไห้โฮ ทั้งเจ็บทั้งดีใจ ตามองหาโค้ช ช่วยมาเป็นเพื่อนให้ปล่อยน้ำตาหน่อย ลืมไปว่านัดกันอีก 50 ก้าว หลังเส้นชัย กลั้นน้ำตาเดินไป ในคอเริ่มสะอึกสะอื้น จะไม่ไหวแล้วนะ เดินเหมือนจะหมดแรง ใครยื่นอะไรให้ก็รับไว้หมด โค้ชอยู่ไหน นี่มันเกิน 50 ก้าวแล้วนะ . เดินไปจนเกือบสุดทาง ตัดสินใจหันหลังกลับมา อารมณ์อยากจะร้องดัง ๆ เริ่มจะหายลงท้องไป นั่นคือเวลาที่เห็นหน้าอีโค้ช นางเดินมาจากเต้นท์อะไรสักอย่าง ผมรีบเดินเข้าไปหานางด้วยหวังว่าคงได้มีซีนซึ้งๆ สักนิดนึง โค้ชเห็นเราแล้ว หันมายิ้มให้เดินตรงเข้ามาหาเรา เราเดินไปช้าๆ บิ้วอารมณ์ในใจ ถึงตัวแล้ว ขอกอดที เอื้อมมือไปกอดคอ โค้ชตบหลังเราเบาๆ มาแล้ว จะโฮแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่นางหันมาพร้อมกับพูดว่า . "ส้มแม่งโคตรอร่อยอะพี่ ผมกินไปสองลูกแล้ว" พูดไปเคี้ยวส้มไปอย่างเอร็ดอร่อย หมดกัน อีโค้ช อีน้องบ้า ฮือออ จะเอาอีกลูกมั้ย จะเดินไปเอาให้ กุหายเจ็บขาแล้ว หื้มมมมม! . 🍊 . ผ่านพ้นช่วงที่คิดว่าวิกฤตที่สุดในชีวิตผมไปแล้ว เราสองคนยืนรอสองสาวที่กำลังวิ่งตามมาอย่างใจจดใจจ่อ ว่าสองคนนั้นจะทำได้หรือป่าว หลังจากนั้นไม่นานเราก็เริ่มเห็นทั้งสองเดินเบียดมากับกลุ่มคนที่เริ่มจะหนาตาขึ้นโดยที่แต่ละคนก็ใช้เวลาห่างกันไม่นานนัก เมื่อมาเช็คเวลาจากนาฬิกาของพวกเราทุกคน ตัวเลขแห่งความอุตสาหะพยายามก็ทำให้พวกเรายิ้มให้กันด้วยความภาคภูมิใจ ในกลุ่มของพวกเรานั้น แม้ตอนซ้อมจะอู้บ้าง งอแงบ้าง แต่เมื่อต้องแข่งขันจริงๆ พวกเราก็สู้ตาย . ใช่ครับ !! คำว่าสู้ตายที่ผมบอก คือเราสามารถสู้ตายกับความกลัว สู้กับขีดจำกัดของตัวเองได้ การวิ่งวันนี้เหมือนมีเส้นเชือกยาว ๆ ผูกพวกเราเอาไว้ ไม่ให้มีใครหลงออกนอกเส้นทาง ไม่ให้มีใครท้อถอย ทุกคนเชื่อว่าอีก 50 ก้าวหลังเส้นชัย ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของเชือก จะมีรอยยิ้มของใครสักคนรอต้อนรับเราอยู่ เราเห็นแล้ว รอยยิ้มที่เหมือนจุดให้น้ำจุดสุดท้าย ความสดชื่นนั้นดีกว่าจุดให้น้ำใด ๆ ที่เราวิ่งผ่านมาทั้งหมด . หลังจากยืดกล้ามเนื้อเสร็จและหาอะไรกินรองท้องกันสักพัก ฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว ศิลปินบนเวทีใหญ่ที่จัดไว้เพื่อรอต้อนรับนักวิ่งก็เริ่มบรรเลงเพลงกันอย่างสนุกสนาน เราตัดสินใจรีบกลับกันก่อนเพราะบ้านพวกเราอยู่ไกล . 🎶 . แต่ระหว่างที่เดินผ่านเวทีไปยังจุดขึ้นรถรับส่งนั้น พวกเราเผลอร้องเพลงตามศิลปินกันขึ้นมาอย่างสนุกสนาน จนโค้ชของพวกเราหรือน้องชายผมต้องตั้งคำถามที่ชวนให้คิดว่า... . "ทำไมเวลามีความสุขแล้วเราชอบร้องเพลงว่ะพี่" ผมก็ตอบไปโดยไม่คิดในทันทีเช่นกันว่า... "ก็เพราะเวลาเราเศร้า เราจะร้องไห้ไง" "เออ ก็จริงหวะ" เสียงตอบลอยกลับมา . ถึงจะบอกน้องไปอย่างนั้นแต่ว่าในใจผมเห็นค้านว่าไม่จริงตามนั้นหรอก น้ำตาไม่ได้หลั่งออกมาเฉพาะแค่ตอนเศร้าแน่นอน เรื่องที่ผมเกือบจะร้องไห้ตอนที่ผ่านเส้นชัยมาเมื่อกี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ความคิดนี้ได้ มันเป็นน้ำตาที่เกือบจะทะลักออกมาเพราะความสุขใจอย่างจริงแท้แน่นอน...ความสุขที่ได้มาวิ่งด้วยกันในวันนี้ . ผมคิดว่าเรื่องราวในวันนี้ สอนอะไรเราได้หลาย ๆ เรื่องเลยนะครับ ทั้งเรื่องของการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เราไม่ต้องอยู่ในความลำบากเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ เรื่องการเอาชนะตัวเอง เรื่องราวของมิตรภาพ และที่สำคัญวันนี้ผมได้รู้แล้วว่า ไม่ว่าเราจะมีความสุขมากมายหรือทุกข์ใจแค่ไหน เราทุกคนล้วนคาดหวังว่าจะมีใครสักคนรับรู้มัน ไม่ว่าจะแสดงออกมาด้วยการร้องไห้หรือร้องเพลงก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าด้วยตัวอักษรยืดยาว เพราะอยากให้คุณทุกคนได้ร่วมรับรู้ถึงความสุขอย่างที่พวกเรามีในตอนนี้ยังไงหละครับ . ขอบคุณครับที่รับอ่าน -พี่ชาย (ไม่ค่อยชาย)- #lovingcritic เครดิตภาพ ภาพปก จากเพจ Loving Critic ภาพประกอบ จากเพจ ก้าวคนละก้าว