โดยทั่วไปแล้ว นวนิยายส่วนมากมักจะจบลงด้วยฉากแต่งงาน มีนวนิยายอยู่เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่มีการแต่งงานเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง ซึ่ง บุษบาสลาย ของ จีริหทัย ก็เป็นหนี่งในนวนิยายไม่กี่เรื่องนั้น อาสาวตีไม่เคยรู้ ... ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอหายไปไหน ... สิ่งเดียวที่หญิงสาวจำได้ คือเธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับชายผู้เป็นที่รัก ... ในวันที่หวนคืนกลับมา เธอพบว่าเขากำลังสร้างสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใหม่ ... หญิงสาวไม่รู้ว่าใครผิด แต่เธอไม่อาจจะยอมรับได้ (บางส่วนจาก คำโปรยของนวนิยาย) บุษบาสลาย เป็นผลงานนวนิยายลำดับที่ ๓ ของ จีริหทัย ภายใต้การดูแลของสำนักพิมพ์กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด ต่อจากสองเรื่องก่อนหน้านั้นคือ เรือนกาแล (พ.ศ.๒๕๕๗) และ สู่บรรพกาล (พ.ศ.๒๕๕๗) จีริหทัย ได้เปิดบทแรกของ บุษบาสลาย ใน ‘คฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ทาสีเหลืองไข่ไก่ (ที่) ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนในเมืองภูเก็ต’ (หน้า ๙) ด้วยภาพขบวนพิธีแต่งงานของตัวละครสำคัญสองตัว คือ กันต์ธร และ อาสาวตี ... ผู้เป็นประหนึ่ง ‘บุษบา’ ดอกสำคัญของนวนิยายเรื่องนี้ การดำเนินเรื่องที่รวดเร็วเกือบตลอดทั้งเรื่อง นับเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับนวนิยายเรื่องนี้ แม้กระทั่งปมปัญหาของเรื่องเอง ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเปิดฉากของเรื่องในวันแต่งงานนี่เอง เมื่อ อาสาวตี ผู้เป็นเจ้าสาวได้หายไปจากงานแต่งงานอย่างเป็นปริศนา โดยไม่มีใครทราบเบาะแสเลยว่าเธอหายตัวไปไหน และหายตัวไปได้อย่างไรโดยไร้ร่องรอย นอกจากหลักฐานอะไรบางอย่างตรงข้างรั้วบ้านเท่านั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสองปี กันต์ธร ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวของงานแต่งงานที่ ‘ล่มสลาย’ ในครั้งนั้น จึงได้พบกับ อาสาวตี อีกครั้งในสภาพที่เธอไร้ซึ่งชีวิตแล้ว ไม่ว่า จีริหทัย จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ความขัดแย้งของโครงเรื่องและตัวละครที่ถาโถมประเดประดังเข้ามาในตัวบทของนวนิยาย หลังจากที่ กันต์ธร ได้พบศพของอาสาวตี ก็กลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดสายตาเอาไว้ ไม่ให้ผู้อ่านวางนวนิยายเรื่องนี้ลงได้ตลอดจนกระทั่งจบเรื่อง เพราะศพของ อาสาวตี ที่พบภายหลังจากการหายตัวไปเป็นเวลาถึงสองปีนั้น มีปริศนาหลายอย่างที่โยงใยไปถึงใครต่อใครอีกหลายคนซึ่งล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกอันหลากหลายกับ อาสาวตี นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น อมราวตี — น้องสาวของอาสาวตีเองแต่กลับไปหลงรักกันต์ธรแฟนของพี่สาว ศุภสิน — ชายหนุ่มที่หลงรักอาสาวตีมาตั้งแต่สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย เรณุกา — เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับอาสาวตี ซึ่งเป็นผู้ที่หลงรักศุภสินมาตลอด รวมไปจนถึงปริศนาอันเกิดจากตัวของ อาสาวตี เองด้วย เพราะสภาพศพของอาสาวตีที่กันต์ธรเป็นคนพบนั้น อาสาวตีอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ไม่มีเบรนด์เนม ซึ่งผิดกับค่านิยมของหล่อน ประกอบกับก่อนที่จะเสียชีวิตนั้นเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ซึ่งยังความแปลกใจมาให้ทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะทั้งกันต์ธรและเพื่อนทุกคนต่างก็ให้ข้อมูลยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าอาสาวตีไม่มีทางจะนอกใจกันต์ธรได้เป็นอันขาดถ้าจัดให้ บุษบาสลาย เป็นนวนิยายแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน ก็ต้องยอมรับว่า จีริหทัย เป็นนักเขียนที่ทำการบ้านมาอย่างดี เพราะการดำเนินเรื่องแบบสลับช่วงเวลา ไม่เป็นไปตามปฏิทินของ บุษบาสลาย นั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อกลวิธีการแต่งแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเป็นการทิ้งปมปริศนาและมอบกุญแจปริศนา โปรยลงไปในนวนิยายเรื่องนี้เป็นช่วง ๆ ตลอดทั้งเรื่อง คือทิ้งปมนี้ไว้ มอบกุญแจไขปมนั้น เป็นเปลาะ ๆ ต่อกันไปเป็นทอด ๆ เหมือนจะจงใจให้ผู้อ่านพยายามคาดเดาปะติดปะต่อเรื่องราว เพื่อที่จะ ‘หักหลัง’ ผู้อ่านอย่างเลือดเย็นเมื่อคาดเดาผลสรุปของเรื่องผิดไปจากการดำเนินเรื่องที่วางเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนับเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนลึกลับ ซึ่งมีน้อยเรื่องจะทำออกมาได้ดี ... และ บุษบาสลาย ก็เป็นหนึ่งในนวนิยายจำนวนน้อยเรื่องที่ว่านั้นการตั้งชื่อเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้ คลายจะ ‘กระซิบ’ บอกถึงสถานภาพของผู้หญิงที่อ่อนโยน บอบบาง และมักถูกเอารัดเอาเปรียบ ทว่าเมื่อได้อ่านเรื่องราวไปจนจบแล้ว กลับรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งที่อ่อนโยนและบอบบางนั้น ผู้ประพันธ์คล้ายกับจะมี ‘นัย’ สื่อหมายไปถึงอารมณ์ สัมพันธภาพ การยับยั้งชั่งใจและความรู้สึกนึกคิด ระหว่างปฏิสัมพันธ์ในระบบต่าง ๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของพี่กับน้องและครอบครัว ความรักความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง รวมไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ที่ดูคล้ายจะบอบบางเสียเหลือเกิน ทว่ายังยึดมั่นกันไว้ได้ด้วยความรู้สึกบางอย่างอันที่ยากจะอธิบาย ไม่ว่าจะเป็น เรณุกา ที่จำเป็นต้องทนคบอยู่กับ อาสาวดี เพื่อให้ตนเองได้อยู่ใกล้กับ ศุภสิน หรือตัว ศุภสิน เองที่จำเป็นต้องทนกับ ‘คำสั่ง’ ต่าง ๆ ของ อาสาวตี เพื่อความอิ่มเอมแห่งหัวใจตนเอง หรือแม้กระทั่งเหตุผลประกอบที่ทำให้ อาสาวตี รีบตัดสินใจแต่งงานกับ กันต์ธร โดยเร็วไว เป็นต้น ซึ่งหากเราเผลอเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ความสัมพันธ์ที่ว่ามานี้อาจจะสูญสลายได้เพียงแค่ลมพัดผ่านมาเพียงแผ่วเบา‘ความขุ่นเคือง’ หลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบ มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือความรู้สึก ‘ผูกพัน’ ที่ค่อนข้างจะเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไประหว่าง กันต์ธร และ สิโนบล ซึ่งได้เข้ามาในชีวิตของ กันต์ธร ในฐานะเพื่อนของน้องสาว จึงทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะเป็น ‘กามนิตหนุ่ม’ ไปหน่อย ทว่าด้วยขนาดความยาวของนวนิยายที่ไม่ยาวมากและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างกระชับฉับไว ประกอบกับเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันซึ่งมีปรากฏอยู่หลายต่อหลายครั้งในเรื่อง จึงอาจจะพอทำให้ ‘ความขุ่นเคือง’ ที่ว่านั้นลดลงไปได้บ้าง ด้วยพอจะเข้าใจได้ว่าความรู้สึกดี ๆ ของมนุษย์เราก็มักจะเกิดขึ้นในภาวการณ์เช่นนั้นอยู่แล้วเป็นปกติ ซึ่งหากไม่สนใจ ‘ความขุ่นเคือง’ นี้เสีย ก็ต้องนับว่า บุษบาสลาย เป็นนิยายแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวนที่ ‘ถึงขั้น’ อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวบุษบาสลาย เป็นนิยายแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นนวนิยายรักและ ‘แอบ’ สะท้อนภาพสังคมด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพสะท้อนสังคมการ ‘คบหากัน’ ของคนรุ่นใหม่ หรือภาพสะท้อนของสถานการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นที่กำลังถูกท้าทายด้วยกระแสของโลกาภิวัตน์ เป็นต้น ถึงแม้ว่าภาพสะท้อนเหล่านี้ จะถูกกลบเกลื่อนด้วยกลิ่นอายของความลึกลับตื่นเต้นที่ส่งกลิ่นรุนแรงกว่าไปจนเกือบจบเรื่องก็ตามที “ผมกับไวน์เป็นผัวเมียกันแล้ว” “เอ๊ะยังไง...คิดว่าพ่อกับแม่ไม่รู้หรือไงว่าพวกเธอคบกันยังไง” “นั่นซิ บ้านนั้นเขาไม่ได้เลี้ยงลูกสาวให้มานอนกับแกง่าย ๆ แบบนั้นหรอก” “ผมพูดความจริง” กันต์ธรยืนยัน “เพียงแต่ผมไม่เคยบอกใครเท่านั้น” (หน้า ๑๖๑)บางครั้งโลกอันงดงามตามแบบฉบับของอุดมคติอาจจะใกล้สิ้นสุดลงแล้ว จีริหทัย จึงได้พยายามนำเสนอไว้ผ่านความเป็นสัจนิยมของตัวละครในนวนิยายเรื่องนี้ ที่แม้แต่ ‘หงส์’ อย่าง อาสาวตี (ซึ่งเป็นชื่อเครือเถาดอกไม้ทิพย์ที่อยู่ในสวนจิตรลดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โน้นแน่ะ – หน้า ๓๓) ก็ยังถึงคราวต้องสูญสลายเพียงเพราะของพื้น ๆ อย่าง ‘กระดูกไก่’ และ ‘ดอกปีบ’ ซึ่งถือว่าเป็น ‘ของ’ ที่มีอยู่มากมายและสามารถมองเห็น-พิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริงในโลกใบนี้ ต่างกันอย่างลิบลับกับของสูงของสวรรค์ (ทว่ายังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่) อย่าง ‘อาสาวตี’ไม่ได้มีแค่เพียงดอกไม้สวรรค์กลิ่นหอมอย่าง 'อาสาวตี' เท่านั้นที่กำลังถูกกระแสสังคมทำให้ 'หายไป' ผ่านมุมมองของ จีริหทัย หากแต่ยังรวมไปถึงการคงอยู่ของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนถึงภาพ 'ความสัมพันธ์' ของคนในสังคมสมัยใหม่อีกด้วย ดังนั้นเมื่ออ่านนวนิยายเรื่องนี้จบลง จึงได้แต่หวังว่า “วัฒนธรรมเฉพาะของที่ภูเก็ต” ที่ผู้เขียนได้พยายามแต่งแต้มเอาไว้ตลอดในนวนิยายเรื่องนี้ คงจะไม่มีอันต้องสูญ ‘สลาย’ ไปด้วย ‘ไสยศาสตร์โลกาภิวัฒน์’ ที่ (แทบ) มองไม่เห็นด้วยสายตา (แต่เพียงอย่างเดียว) ทั้งนี้ก็เพราะว่าวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ มันช่างดูงดงามและมีคุณค่ายิ่งนัก เป็นของสูงหายากไม่ต่างอะไรเลยกับดอกไม้ทิพย์แห่งสรวงสวรรค์... อย่างดอกอาสาวตีภาพประกอบ โดย ผู้เขียน