สถาปัตยกรรม ถือเป็นงานศิลปะที่แสดงออกทางสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ความสวยงามทางด้านการออกแบบแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกของงานสถาปัตยกรรมนั้น ๆ การจัดวางที่ทาง ทัศนศิลป์ เทคนิคทางวิศวกรรม ประโยชน์ใช้สอยต่อมนุษย์ ความยั่งยืน และอีกมากมาย ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้บอกแค่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น แต่ยังมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์ของสังคมในยุคนั้น ๆ สถาปัตยกรรมในประเทศไทยถือเป็นงานศิลปะที่มีอายุยาวนานและสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่ยุคสมัยทวาราวดี ผ่านสุโขทัยเข้าอยุธยา จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ ในช่วงรัชกาลที่สาม งานสถาปัตยกรรมสยามประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนที่มาทำการค้า ที่เริ่มมีวัสดุชิ้นใหม่ ๆ เข้ามา การหันมาใช้ก่ออิฐถือปูน ใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับแทนการใช้ไม้สลัก จนกระทั่งเข้าสมัยรัชกาลที่สี่ สยามประเทศมีการติดต่อการค้ากับประเทศทางตะวันตกมากขึ้น ทำให้สถานที่ต่าง ๆ อาคารของทางราชการรวมถึงพระราชวัง มีความผสมผสานในรูปแบบนีโอคลาสสิคมากขึ้น ดังที่เห็นได้ชัดอย่างเช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม จนทำให้งานสถาปัตยกรรมของประเทศดูโดดเด่นและสวยงามในภูมิภาคแห่งนี้ แต่ในประวัติศาสตร์การเข้ามาทำการค้าภายในสยามประเทศ ไม่ได้ส่งผลต่องานสถาปัตยกรรมในเมืองหลวงเท่านั้น เพราะการค้าขาย ต้องมีการเดินทางไปทั่วทิศ ซึ่งรวมถึงภาคใต้ของประเทศไทยยาวไปจนถึงแหลมมลายู ก็มีการค้าขายของคนจีนกับชาวโปรตุเกส ที่คาดการณ์ว่าอยู่ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2054 โดยมีเรื่องราวว่าชาวโปรตุเกส ชาติแรกที่เข้ามาทำการค้ากับสยามประเทศตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้เดินทางไปทำการค้ากับชาวมลายูบริเวณท่ามะละกา อีกทั้งยังมีชาวจีนที่โล้สำเภาเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำการค้ากับชาวมลายูเช่นกัน โดยเฉพาะชาวจีนกับมลายูหลายรายได้แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน และยังได้นำศิลปวัฒนธรรม รวมถึงวิทยาการต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่ด้วย (ซ้าย) ถนนเยาวราชตัดกับถนนดีบุก (ขวา) ถนนกระบี่ จังหวัดภูเก็ต โดยในช่วงเวลาที่โปรตุเกสอาศัยอยู่นั้น ก็ได้สร้างเคหสถานที่พักอาศัยไว้ และใช้การออกแบบงานสถาปัตยกรรมในแบบฉบับของชาวโปรตุเกส ทำให้อาคารที่พักต่าง ๆ เป็นรูปแบบตะวันตก และในขณะเดียวกัน ชาวจีนที่อาศัยร่วมในพื้นที่ ก็ได้นำเอาแบบแปลนของเคหสถานไปดำเนินการสร้างต่อ แต่ด้วยคนจีนที่มีความเชื่อต่าง ๆ มากมาย ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้งานก่อสร้างอาคารบ้านเรือนของชาวจีนเพี้ยนไปจากแปลนเดิมของชาวโปรตุเกส อีกทั้งยังได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์ตามรูปแบบคติความเชื่อของจีน จนทำให้งานผสมผสานนี้เกิดเป็นงานสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์ในชื่อ ชิโน-โปรตุกีส การก่อสร้างเคหสถานรูปแบบนี้แพร่หลายไปทั่วแหลมมลายู ซึ่งพบเห็นได้ในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, ปีนัง และภาคใต้ของประเทศไทย โบสถ์ไคร์ซเชิร์ช เป็นโบสถ์นิกายแองกลีกันสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย อาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ในจอร์จทาวน์ ปีนึง ประเทศมาเลเซีย ในสมัยรัชกาลที่ห้า พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็จ ในสมัยนั้น ได้พัฒนาเมืองภูเก็ต โดยเฉพาะการวางผังเมืองที่ได้นำรูปแบบผังเมืองปีนัง ที่มีลักษณะแบบล็อก อันเป็นผังเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกมาใช้ จากถนนดินลูกรัง บ้านเรือนไม่เป็นระเบียบ ก็ทำให้เมืองภูเก็ตมีความเป็นระเบียบ การค้าระหว่างเมืองกับปีนัง ที่เจริญเฟื่องฟูขึ้น วิทยาการต่าง ๆ ก็เข้ามาสู่ภูเก็ต รวมถึงงานสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสด้วย จนเกิดมีการก่อสร้างเคหสถานต่าง ๆ ในรูปแบบนี้ในผังเมืองใหม่ ทำให้ภูเก็ตเติบโต โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผังเมืองภูเก็ตในตัวเมือง ที่วางแปลนเป็นบล็อคสี่เหลี่ยม การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนสไตล์ชิโน-โปรตุกีส จะมีอยู่สองแบบ ได้แก่ อาคารตึกแถวเพื่อการพาณิชย์ อย่างเช่นในถนนถลาง ที่ยังคงตั้งอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวชั้นดี และอีกแบบคือ คฤหาสน์บริเวณกว้าง ที่จะมีชื่อเรียกว่า อังหม่อหลาว มีความหมายว่าคฤหาสน์แบบฝรั่ง ซึ่งคำว่า อังหม่อ แปลว่าฝรั่ง คำว่า หลาว แปลว่าคฤหาสน์ เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนที่คนในท้องถิ่นใช้เรียกอาคารที่แปลกตาในสมัยนั้น และใช้เป็นชื่อเรียกมาจนถึงปัจจุบัน งานสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส ที่นอกจากจะเกิดจากการผสมผสานจนสวยงาม โดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์การเดินทางของศิลปะสไตล์นี้ อีกทั้งยังมีเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ในอดีตที่ได้ชี้ให้เห็นถึงรากฐานสำคัญสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต และเป็นประจักษ์พยานเพื่อการสร้างสรรค์สืบทอดต่อกันไป