"ภูเก็จ" ชื่อดั้งเดิมของจังหวัดภูเก็ต จะสะกดด้วย จอ จาน แบบนี้ แต่ ณ ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาเป็น "ภูเก็ต" ที่มี ตอ เต่า สะกด มาโดยตลอด ผู้เขียนขอเล่าคร่าว ๆ ถึงเรื่องราวของเมืองภูเก็ตให้ผู้อ่านได้รู้จักกันสักนิด ภาพจาก Google Map จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดเดียวที่มีสภาพพื้นที่อยู่ในเกาะ หากดูในแผนที่ประเทศไทยจะเห็นว่า เป็นเกาะที่แยกออกจากแผ่นดินใหญ่เลย แต่มีสะพานสารสินเป็นสะพานเชื่อมระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดภูเก็ต แม้จะเป็นจังหวัดที่เล็กแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ พ่อเมือง แม่เมืองในอดีต ที่ได้ช่วยกันลุกขึ้นสู้รบขับไล่อริศัตรูให้ออกไปจากแผ่นดินเกิดของเรา และรักษามันไว้ให้ลูกหลานเราได้มีที่อยู่กันจนถึงทุกวันนี้ พ่อเมือง แม่เมืองที่ผู้เขียนหมายถึงนั่น ก็คือ คุณหญิงจัน คุณหญิงมุก ภาพจาก Wikipedia ทางการภูเก็ตได้ทำการสร้างรูปปั้นของคุณหญิงจัน และคุณหญิงมุก ไว้บนถนนเทพกระษัตรี กึ่งกลางระหว่างแยกไปป่าคลอก กับแยกหม่านิก เส้นทางเข้า-ออกจากเมือง ทุกครั้งที่ผู้เขียนผ่านอนุสาวรีย์ของท่าน ผู้เขียนจะยกมือใหว้ขอพรในการเดินทางที่ปลอดภัยทั้งไปและกลับ หากมีเวลาผู้เขียนก็จะตระเวณไหว้สักการะขอพร ตามที่ต่าง ๆ ที่เป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ วันหยุดนี้ ผู้เขียนและน้อง ๆ อยากที่จะไปไหว้เสาหลักของเมือง นั่นคือ เสาหลักเมือง หรือ ศาลหลักเมืองของจังหวัดภูเก็ต แต่ละเมืองก็จะมีศาลหลักเมืองของตัวเอง แต่ที่เมืองภูเก็ตนี้มีความพิเศษอยู่อย่าง เพราะว่า ศาลหลักเมืองของที่นี่มีอยู่ด้วยกันถึง 4 ศาลหลักเมือง ผู้เขียนไม่เคยไปไหว้เลยสักครั้ง ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกเท่านั้นที่จะได้เดินทางไป จึงนัดน้อง ๆ ไว้ในวันหยุด เพื่อออกเดินทางกัน เส้นทางที่จะไปนั้นไม่มีใครรู้เส้นทางสักคน จึงหวังพึ่ง GPS และข้อมูลใน google เป็นหลัก มาดูกันครับว่าศาลหลักเมืองประจำจังหวัดภูเก็ตทั้ง 4 แห่ง อยู่ที่ไหนมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง ประวัติแต่ละที่ผู้เขียนขอเขียนคร่าว ๆ ตามที่ได้อ่านมาในป้ายที่ติดไว้นะครับ ไม่ขอลงลึกในรายละเอียดเพราะมีอยู่แล้วตามเว็บไชต์ต่าง ๆ ภาพโดย ผู้เขียน ศาลหลักเมือง เสาที่ 1 ชื่อว่า ศาลหลักเมืองเมืองใหม่ ตั้งอยู่แถวท่าเรือ เป็นการสร้างเสาหลักเมืองใหม่ทับเสาหลัdเมืองเก่า ตั้งแต่ ปี 2352 ตอนที่จัดงานฉลอง 200 ปีคุณหญิงจัน คุณหญิงมุก เมื่อปี 2528 ปัจจุบัน กำลังทำการก่อสร้างอาคารที่ตั้งศาลขึ้นมาใหม่ ยังไม่แล้วเสร็จ จึงตั้งประดิษฐานศาลหลักเมืองเก่าไว้ใกล้ ๆ ให้ทุกคนสามารถมากราบไหว้สักการะได้ เมื่อ่ก่อสร้างแล้วเสร็จถึงจะมีการนำไปติดตั้งไว้ในศาลาศาลหลังใหม่ต่อไป ภาพโดย ผู้เขียน ศาลหลักเมือง เสาที่ 2 ชื่อว่า ศาลหลักเมืองถลางป่าสัก หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม ศาลหลักเมืองเจ้าแม่สร้อยแก้ว หรือศาลหลักเมืองวัดพระขาว ตั้งอยู่ที่อำเภอถลาง ป่าสัก ผู้คนที่มาขอพรที่นี่มักจะขอเกี่ยวกับเรื่องชัยชนะความสำเร็จ ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือการแข่งขันต่าง ๆ ภาพโดย ผู้เขียน ศาลหลักเมือง เสาที่ 3 ชื่อว่า ศาลหลักเมืองเจ้าแม่เกษิณี หรือศาลหลักเมืองเลพัง ตั้งอยู่ที่ตำบลเชิงทะเล ใกล้กับโรงแรมโมเวนปิก ลากูน่า หน้าหาดเลพัง ตัวศาลาสวยงาม บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้าน ทิสทางของหน้าศาลหันออกสู่ทะเลฝั่งตะวันตก หากใครที่จะมาขอพร ขอโชคลาภ เล่าขานกันว่าขอได้ทีละอย่างทีละรอบเท่านั้น ภาพโดย ผู้เขียน ศาลหลักเมือง เสาที่ 4 ชื่อว่า ศาลเจ้าแม่หลักเมืองท่าเรือ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ศาลหลักเมืองเจ้าแม่ยายตวง ตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ห่างจากป้อมตำรวจประมาณ 100 เมตร จะมีเรือลำเล็ก 1 ที่นั่ง วางอยู่บริเวณศาลหลักเมือง แต่เดิมบริเวณแถวนี้จะเป็นท่าเรือ มีน้ำเยอะจึงมีการใช้เรือพายเป็นพาหนะในการสัญจรไปมา เหมาะสำหรับท่านที่ต้องมาขอเกี่ยวกับโชคลาภ ความรัก และบุตรชาย ผู้เขียนจะขอเพิ่มเติมในเรื่องของประวัติในการสร้างเสาหลักเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ว่า จะต้องมีการสังเวยด้วยชีวิตกันเลยทีเดียว โดยเสาหลักจะมี สี่หลุม โดยจะมีการเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ใครที่ขานรับจะถูกนำมาคัดเลือก คือ ชายจะต้องไม่มีรอยสัก หญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อได้คนตามที่ต้องการแล้ว จะนำลงไว้ในหลุม เมื่อถึงเวลาพิธีสำคัญ เจ้าเมืองจะสั่งให้ตัดเชือกเพื่อให้เสาที่มัดไว้หล่นลงไปทับคนที่อยู่ในหลุมนั้น โดยเชื่อกันว่า เขาเหล่านั้นจะเป็นผีเฝ้ารักษาเมืองและพระราชวังต่อไป เป็นที่น่าสังเกตุว่า ศาลหลักเมืองทั้ง 4 แห่งล้วนหันหน้าออกสู่ทะเลทั้ง 4 ทิศ เพื่อเป็นการปกปักรักษาป้องกันบ้านเมืองจากอริราชศัตรู เราเป็นคนรุ่นหลัง และจะมีรุ่นหลังต่อจากเราอีก ควรที่จะทำการอนุรักษ์ เสาหลักที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เอาไว้ให้อยู่คู่ลูกหลานเราตลอดไป ศาลหลักเมืองทั้ง 4 แห่งนี้ ผู้เขียนและเพื่อน ๆ ใช้เวลาเดินทางสักการะ เกือบ 1 วันเต็ม เพราะบางสถานที่ต้องพึ่ง GPS ในการนำทาง กว่าจะหาเจอมีพาหลงไปบ้าง ถามชาวบ้านแถวนั้นบ้าง กลับถึงพร้อมด้วยความสุข พรที่แต่ละคนขอ จะสำเร็จเป็นจริงหรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากตัวเราเอง ที่จะต้องเป็นคนผลักดันให้มันเกิดขึ้น แล้วสิ่งศักดิ์ท่านจะช่วยเราอีกทาง เหนือสิ่งอื่นใด คือ ต้องประกอบด้วยสิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะเป็น คิดดี ทำดี พูดดี เป็นลูกหลานของท่าน หรือเป็นผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินของท่าน ต้องอยู่อย่างมีความสำนึกและรับผิดชอบ ท่านก็จะให้สิ่งดี ๆ กับเรา แน่นอน หากใครที่มองหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำ ศาลหลักเมืองทั้ง 4 แห่งนี้นะครับ เมืองเราพิเศษกว่าใคร ๆ ที่อื่นเขามีกันแค่ 1 แห่งเท่านั้นเองครับ น่าภาคภูมิใจเป็นยิ่งนักของพวกเราชาวภูเก็ต