ในครั้งนี้จะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลงสนามวิ่งที่มีระยะสั้นที่สุดแต่กลับเหนื่อยล้าและทรมานมากที่สุดเช่นกัน อ่านดูคงแปลกปนสับสนอยู่ไม่น้อยใช่ไหมละ? ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะมาเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ในการลงวิ่งครั้งนี้รวมทั้งการเตรียมตัวและผลที่เกิดหลังจากการวิ่งเสร็จสิ้น ก่อนอื่นก็ขอเกริ่นก่อนว่าฉันไม่ใช่นักวิ่งเป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ออกตามหาความชอบและความสุขเพียงเท่านั้นและสนามนี้เป็นเพียงสนามที่ 2 เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันได้ลงวิ่งแบบกระทันหันไปในระยะทาง 6 กิโลเมตร และรู้สึกหลงรักการวิ่งหลังจากจบสนามแรกฉันก็ซ้อมวิ่งอยู่บ่อย ๆ จะเรียกว่าวิ่งได้ไหม? คิดว่าควรเรียกเดินกึ่งวิ่งถึงจะถูกมากกว่า พอพี่สาวคนที่เข้าวงการวิ่งก่อนชั้นไปประมาณ 1 ปีกว่า ๆ รู้ว่าฉันยอมลงวิ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย ปฏิเสธสถานเดียวเท่านั้น เธอก็เลยชวนฉันมาวิ่งด้วยกันที่สนามสุคิริน สุคิรินเป็นหนึ่งอำเภอในจังหวัดนราธิวาสที่เป็นจังหวัดบ้านเกิดของครอบครัวฉันเอง การได้ลงวิ่งในสนามบ้านเกิดตัวเองคงรู้สึกดีไม่น้อย ฉันที่ถูกเชิญชวนก็รีบตอบรับทันที ซึ่งในงานครั้งนี้มีชื่อว่า "ปั่น-วิ่งพิชิตทอง" แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่วิ่งอย่างเดียว โดยงานในครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของการวิ่ง ส่วนของการปั่นจักรยาน โดยสิ่งที่ฉันและพี่สาวเลือกก็คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากการวิ่ง แต่ในส่วนของการวิ่งนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อยไปอีกโดยแบ่งตามระยะทาง ซึ่งประกอบไปด้วย Fun Run ระยะทาง 3 กิโลเมตร Mini Marathon ระยะทาง 10 กิโลเมตร จุดนี้ก็เป็นจุดแยกทางกันระหว่างฉันกับพี่สาว เพราะโดยปกติเธอก็สาย Mini Marathon อยู่แล้วครั้งนี้เลยไม่ต้องคิดอะไรมาก 10 กิโลเมตรก็ถูกเธอเลือกไป ส่วนฉันที่เป็นมือใหม่ก็คิดว่า 3 กิโลเมตรก็น่าจะพอแล้ว ค่าลงสมัครราว ๆ 300 - 400 (อันนี้ไม่แน่ใจเนื่องจากเพื่อนพี่สาวเป็นคนสมัครอีกทีหนึ่ง) จะได้เสื้อวิ่ง เหรียญรางวัล เครื่องดื่มระหว่างทางและอาหารเมื่อถึงเส้นชัย แต่ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่งานค่อนข้างเยอะ เวลาซ้อมวิ่งไม่ค่อยมีบวกกับความไม่ค่อยมีวินัยในตัวเองที่พอมีเวลาก็เลือกจะนอนพักแทนการซ้อม เพราะคิดว่า 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของสนามแรก โดยที่สนามแรกฉันสามารถวิ่งจบโดยที่ไม่ได้ซ้อมเลย แล้วครั้งนี้ทำไมจะทำไม่ได้ จนมาถึงวันลงสนามจริง ระยะทางเกือบ 40 กิโลเมตร จากบ้านฉันที่อยู่อีกอำเภอหนึ่งมาถึงที่สุคิรินแต่สนามไม่ได้อยู่ในตัวเมืองสุคิรินนะต้องขับลึกเข้าไปอีกไกลสนามวิ่งครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่บ้านภูเขาทอง ระยะทางค่อนข้างไกลช่วงกับการกะเวลาที่เผื่อพอดีตัวเกินไปทำให้ต้องลุ้นอยู่ตลอดทางว่าจะทันเวลามั้ย แต่โชคดีที่เมื่อวานพวกเราได้ต้องว่าแวะเวียน Survey เส้นทางต่าง ๆเตรียมร้อยแล้วเลยช่วยให้เราประหยัดเวลาในการถามทางได้มากขึ้น พ่อที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถก็พุ่งตรงไปบนยอดภูเขาทองที่เป็นจุด Start ของ Mini Marathon ก่อนจะขับลงมาส่งฉันที่จุด Start ของ Fun Run ที่จุด Start มีบริการขนม (ซึ่งเป็นขนมพื้นเมือง) เครื่องดื่ม แต่ฉันที่กินรองท้องมาแล้วก็ไม่กล้ากินต่อเพราะกลัวว่าถ้าวิ่งตอนท้องอิ่มจะจุกเอาได้ ในการวิ่งเขาจะปล่อยตัว Mini Marathon ไปก่อนและราว ๆ 1 ชั่วโมงจะเป็นคิวปล่อยตัวของ Fun Run ง่าย ๆ ก็คือเขาจะปล่อยตัวนักวิ่งที่วิ่งระยะไกลก่อนแล้วค่อย ๆ ไล่ตามลำดับลงมา เมื่อใกล้ถึงเวลาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจุด Start ก็เป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้เหล่านักวิ่งทุกคนมายืนรวมตัวกันที่จุด Start เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะมีการนับถอยหลังเพื่อบอกเวลาออกตัวของนักวิ่ง ไม่รอช้าเหล่านักวิ่งทั้งหลายก็พุ่งตัวออกไปอย่างไวซึ่งฉันที่เป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะตอนนี้ก็ค่อย ๆ วิ่งเหยาะ ๆ ไป สนามวิ่งครั้งนี้จะเป็นแนวขึ้นเขาลงเขา ไม่ใช่ทางเรียบที่วิ่งได้เรื่อย ๆ แต่ต้องมีการควบคุมกำลังขาดี ๆ ขณะขึ้น และขณะลงเพื่อไม่ให้เซหรือล้มเพราะฝนที่ตกลงมาทักทายเป็นระยะตั้งแต่เช้ามืดพอทำให้พื้นถนนลื่นเอาการเลยทีเดียว วิ่งไปได้ไม่ถึงไหนฉันเริ่มรู้สึกจุกท้องวิ่งต่อไม่ได้แม้จะลองพยายามวิ่ง วิ่งไปได้ไม่ถึงไหนก็ต้องหยุดเสียแล้ว และขาก็เริ่มล้าเนื่องจากการขาดการฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ บวกกับทางที่วิ่งมันไม่ใช่พื้นเรียบอย่างคราวสนามแรก และที่สำคัญของงานนี้คือรองเท้าที่ค่อนข้างไม่ Support เท่าสักเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่ซื้อมาคือไม่ได้ทดลองใช้วิ่งแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง ความรู้สึกในตอนนั้นคือ "รองเท้าหนัก" บวกกับมีฝนตกลงมาด้วยทำให้มีน้ำสะสมที่รองเท้าก็ยิ่งทำให้หนักมากขึ้น หนทางตอนนี้มีอยู่ 2 ทาง คือ หยุดแล้วรอเจ้าหน้าที่รับกลับ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ขับพานักวิ่งบาดเจ็บหรือนักวิ่งที่ไม่ไหวไปพักที่เส้นชัยอยู่ หยุดวิ่งแล้วเดินไปเรื่อย ๆ ถึงตอนไหนก็ตอนนั้น คนข้างหลังฉันค่อย ๆ ขึ้นรถของเจ้าหน้าที่ไปที่ละคน 2 คน ส่วนฉันที่กำลังลังเลก็เดินไปเรื่อย ๆ ในระหว่างนั้นจึงได้ขอสรุปว่า.... เดินไปจนกว่าจะถึง ช้าหน่อยแต่ก็ชนะเป้าในใจตัวเอง เวลาที่ 50 นาทีของ Fun Run ฉันก็ได้พาตัวเองมาถึงเส้นชัยพร้อมร่างกายที่ล้าเต็มทนมาก ภาพตรงหน้าตอนนี้คือพ่อกับพี่สาวยืนรออยู่ ผู้คนเริ่มเบาบางบ่งบอกได้เลยว่าฉันคือนักวิ่งกลุ่มสุดท้าย ๆ ที่มาถึงยังจุดเส้นชัย 50 นาที กับระยะทาง 3 กิโมเมตร คงไม่เหมาะเท่าไรแต่ทำหรับฉัน ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้ทำตามเป้าหมายในใจตัวเอง ฉันไม่ได้ต้องการชนะใครแต่ที่ลงวิ่งเพราะอยากชนะใจตัวเอง และวันนี้ฉันก็ทำได้อีกก้าว ในสนามวิ่งครั้งนี้สอนฉันอยู่หลายอย่างวันนี้จะมาสรุปเป็นข้อ ๆ เผื่อใครสนใจที่จะเริ่มลงสนามวิ่ง หรือสนใจอยากวิ่งจะได้ลองเอาสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ครั้งนี้ไปปรับใช้ งั้นลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคืออุปกรณ์ Support การวิ่งของเรา นั้นคือ รองเท้า รวมถึงชุดด้วย ให้เลือกชุดที่ที่พอดีตัว ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินเพราะจะไม่สบายตัวและยังถ่วงการวิ่งเของเราอีกด้วย ในส่วนของรองเท้าถ้าจะใช้สำหรับวิ่งแนะนำให้เลือกเบอร์ที่ใหญ่กว่าเบอร์เท้าตัวเองประมาณ 1 เบอร์ เพราะตอนวิ่งเท้าเราจะไหล่ไปข้างหน้าข้างมันพอดีเท้าจะทำให้รู้สึกคับและเจ็บเท้าได้ และที่สำคัญที่สุดคือสุดอย่างที่จะใส่ในการวิ่งควรผ่านการลองใส่วิ่งมาแล้ว เราจะได้รู้ว่ารู้สึกอย่างไร สบายหรือไม่? คับหรือหลวมตรงไหน? ต่อไปคงเป็นอะไรไปไม่ได้นั้นคือ "การฝึกซ้อม" อย่าคิดว่าแค่นี้อย่างที่ฉันคิดเด็ดขาด การฝึกบ่อย ๆ ซ้อมบ่อย ๆ จะทำให้อวัยวะของเรารู้สึกคุ้นชินเมื่อต้องลงสนามจริง และจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการวิ่ง เช่นสิ่งที่ฉันเจอคือ จุกท้อง ขาล้า และช่วยให้เรารู้จังหวัร่างกายตัวเองด้วยว่าไหวแค่ไหน ต้องได้รับการพักตอนระยะทางหรือเวลาแค่ไหนฦ เราไม่ได้ซ้อมเพื่อชนะหรือเป็นที่หนึ่งในสนามแต่เราซ้อมเพื่อให้ร่างกายเราแกร่งขึ้นและสามารถเอาชนะความเหนื่อยล้าระหว่างทางได้มากขึ้นแค่นั้น "ซ้อมบ่อย ๆ นะคะ สม่ำเสมอด้วย" ต่อไปเป็นการ "วอร์มร่างกาย" และเหนือกว่าวอร์มร่างกายคือ "การวอร์มร่างกายให้ถูกวิธี" ซึ่งครั้งนี้ฉันวอร์มร่างกายไม่พอและยังวอร์มผิดวิธีอีกด้วย โดยการวอร์มร่างกายเป็นการบอกให้ร่างกายได้เตรียมความพร้อมและยังสามารถช่วยลดการเจ็บปวดระหว่างวิ่งได้ด้วย แต่อย่างที่บอกไปคือต้องวอร์มให้ถูกวิธี ทุกคนสามารถไปหาดูตาม Internet ได้นะคะ ในสนามวิ่งไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น ถามตัวเองแล้วให้ตัวเองตอบ "มาวิ่งเพื่ออะไร?" ถ้าไม่ไหวค่อย ๆ เดิน ในสนามสิ่งสำคัญที่สุดสุดคือตัวเอง เราลงสนามเพื่อแข๋งกับตัวเองข้างในไม่ใช่ใครที่ไหน ตั้งเป้าหมายให้แน่นแล้ว่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบแค่วันนี้ดีกว่าเมื่อวานก็ขอบคุณตัวเองแล้ว สิ่งสุดท้ายที่คิดว่าสำคัญมาก ๆ คือ "เวลา" หากมีต้องลงสนามควรเผื่อเวลา เผื่อให้เยอะหน่อยก็ดี เพราะไม่รู้เลยว่าจะหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากเกิดเหตุปวดท้อง ลืมของสำคัญที่ต้องใช้ หรืออะไรก็ตามที่สามารถเกิดขึ้นได้ เราจะได้มีเวลาเหลือไปถึงสนามได้ และมีเวลาเหลือเยอะก่อน Start วิ่งก็เท่ากับว่าเรามีเวลาวอร์มร่างกาย เตรียมร่างกาย และเตรียมใจให้พร้อมได้มากกว่า สู้ ๆ นะคะทุกคน ขอให้โชคดีกับทุกก้าวของตัวเอง เครดิต : ภาพทั้งหมดผู้เขียนเป็นคนถ่ายเองจากสถานที่จริง