ภาพโดยผู้เขียน อากาศตอนสายช่วงเทศกาลปีใหม่ที่วัดพระธาตุฯวันนี้อากาศดีมาก ผู้เขียนได้ลงมาเยี่ยมบ้านที่นครศรีธรรมราชแล้วได้แวะสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เลยถือโอกาสเข้าเยี่ยมครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือด้วย เนื่องจากเคยบวชและเรียนหนังสือที่วัดนี้สิบกว่าปี พุทธศาสนิกชนเดินทางมาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ภาพโดยผู้เขียน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดพระธาตุฯ เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นเอก เป็นสถานที่ประดิษฐานองค์เจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้าย ) ของพุทธเจ้าและเป็นศูนย์รวมใจของชาวเมืองนครมาตั้งแต่โบราณกาล บรรยากาศในบริเวณวัดยามนี้จึงคราคร่ำไปด้วยพุทธศาสนิกที่เดินทางมาไหว้พระธาตุ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งชาวนครศรีฯ ผู้คนในจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนพุทธศาสนิกจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ จะเห็นได้จากรถทัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวมาไหว้พระจอดรออยู่หลายคัน ยอดเจดีย์ต้องแสงแดดเป็นประกายแวววับ ภาพโดยผู้เขียน ยอดทองคำที่ประดิษฐ์ไว้บนฐานเจดีย์ที่สูงตระหง่านยามนี้ต้องแสงแดดเป็นประกายแวววับ สิ่งหนึ่งที่ผู้คนสงสัยนับแต่อดีตจวบปัจจุบันก็คือ พระธาตุเจดีย์องค์นี้ไร้เงาจริงหรือ มีใครบ้างที่เคยเห็นเงาพระธาตุ ถามคนเฒ่าคนแก่ที่มีบ้านอยู่ใกล้วัดต่างตอบว่าไม่เคยเห็น ผู้เขียนได้ค้นพบข้อมูลจากนิราศนครศรีธรรมราช แต่งโดยนายแก้ว กรมพระคลังสวน ในคราวตามเสด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก เมื่อปีพุทธศักราช 2402 ว่า “…แต่ก่อนนั่งฟังเล่นแต่คำกล่าว เขาพูดจายักเยื้องเป็นเรื่องราว ว่าครั้งคราวเมืองแตกสาแหรกกระจาย ทรงพระปาฏิหาริย์บันดาลเหตุ อาเพศให้เห็นซึ่งพระฉาย ถ้าอยู่ดีมิได้เห็นเป็นอันตราย เงานั้นหายไม่ได้เห็นเป็นธรรมดา…” จากกลอนนิราศ ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเงาขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ เมืองนครศรีธรรมราช มีใจความว่า ในยามบ้านเมืองปกติ จะไร้เงาพระธาตุแต่ทว่าหากปรากฏเงาขึ้นเมื่อใด เป็นสัญญาณว่าบ้านเมืองกำลังจะเกิด “อาเพศ” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เช่นว่า ศึกสงคราม โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ เป็นต้น อันนี้ยิ่งชวนให้น่าคิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาบ้านเมืองคงสงบเรียบร้อยเป็นแน่ แต่คำตอบของเรื่องนี้มีอธิบายไว้ในนิราศแพรกไพร ซึ่งแต่งโดยพระครูคง ในปีพุทธศักราช 2409 ว่า “…มาแต่โบราณ ยินเล่าลือมา พระฉายฉายา เจดีย์บ่เห็น เพราะแสงทิวา กรทับทองเป็น ศรีสุวรรณกระเด็น ดั่งกระจกจับตา เงาพระเจดีย์ ทับที่หลังคา วิหารศาลา ไม่ดูให้ทั่ว มัวมืดจักขวา นานเห็นเงาปรา กฎเกิดตกใจ ฤดูเหมันต์ พระสุริโยฉัน ย้ายราศีไกล จึ่งเงาเจดีย์ มิทับอันใด ดูไปเห็นง่าย ถึงชายทางหลวง เขาปักระกำ ไว้กว่าจะค่ำ กลัวคนจะล่วง ข้ามเงาเจดีย์ มีโทษกระทรวง บ้างพูดล่อลวง ว่าไม่มีเงา ชวนพากันเชื่อ มิได้เอื้อเฟื้อ เพราะปัญญาเขลา ผู้มีปัญญา บ่ได้ถือเอา คำคนโฉดเขลา เล่าลือกันไป…” จากบทกลอนข้างต้น ได้ตอบข้อสงสัยที่ว่าพระธาตุไร้เงานั้น ความจริงแล้วในฤดูร้อนและฤดูฝนเงาองค์พระธาตุจะไปตกบนหลังคาพระวิหาร แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และมกราคม (ปกติภาคใต้ไม่มีฤดูหนาว) เงาจะตกลงบนพื้นหาดทรายทางทิศตะวันออกขององค์พระเจดีย์ เจ้าหน้าที่ในสมัยนั้นจึงต้องมากั้นเขตไม่ให้ผู้คนเดินทับเงาเจดีย์ และบางครั้งก็พูดเฉไฉว่าองค์พระธาตุไม่มีเงาเสียเลย จึงเชื่อกันว่าองค์พระธาตุเจดีย์ไร้เงามาจนปัจจุบันนี้ ภาพโดยผู้เขียน อย่างไรก็ตามองค์พระธาตุเจดีย์ก็ยังเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกตลอดมาและคงจะตลอดไปตราบนานเท่านาน นอกจากนี้ภายในวัดพระธาตุเมืองคอน ยังมีพระวิหารและสถานที่อันน่าอัศจรรย์อีกหลายอย่าง ไว้มีโอกาสจะได้นำเสนอต่อไป และหากใครมีโอกาสมาทำธุระหรือเดินทางผ่านจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็อย่าพลาดแวะไหว้พระธาตุ ได้ทั้งบุญทั้งของที่ระลึกตลอดจนความอิ่มเอิบในรมณียสถานตลอดไป