บันทึกการเดินทาง ครั้งหนึ่งในนครศรีธรรมราช เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยรถยนต์ส่วนตัว ออกจากกรุงเทพฯ ประมาณตี 4 ผ่านถนนเส้นพระรามสอง มุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แวะพักรถบ้าง พักเหนื่อยบ้างไปเรื่อยเปื่อย ในที่สุดเราก็ไปถึง อ.ขนอม ประมาณ 5 โมงเย็น สำหรับคืนแรก เราพักกันที่ VISH HOTEL & CAFE โรงแรมเก๋ๆ สไตส์ลอฟท์ ด้านบนเป็นที่พัก ด้านล่างเป็นร้านกาแฟ ที่นี่ไม่ได้อยู่ติดทะเล แต่สามารถเดินไปชายหาดได้ไม่ไกลค่ะ เช็คอินเสร็จเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรทานกันแบบง่ายๆ ที่ถนนคนเดินตลาดย้อนยุคขนอม ซึ่งจะมีทุกคืนวันเสาร์ ขอแนะนำว่าโรตี น้ำชาที่นี่ อร่อยมาก แถมราคาก็ไม่แพงด้วย หลังจากจัดมื้อเย็นแบบแน่นๆ จุกๆ ในราคาเบาๆ เสร็จแล้ว ก็กลับไปนอนพักผ่อนรอความสนุกในวันพรุ่งนี้กันค่ะ เช้าวันที่สองของการเดินทาง เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปลงเรือตามหาโลมาสีชมพูกันที่ สะพานไม้อ่าวเตล็ด หรือท่าเรือชุมชนบ้านสำเหร็ด (ตำบลท้องเนียน) เรานัดพี่คนขับเรือไว้ประมาณ 7 โมงเช้า ไปถึงพี่เค้าก็นั่งรอเราอยู่แล้ว อ่าวเตล็ดยามเช้าน้ำทะเลนิ่งสงบ สวยมากๆ จุดนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปลงเรือที่บ้านแหลมประทับกัน แต่เราไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ เลยเลือกที่จะมาลงเรือที่นี่แทน พี่ณรงค์ไกด์ส่วนตัวของเราในวันนี้เล่าว่า ปกติโลมาจะขึ้นมาว่ายน้ำให้เราเห็นกันในช่วงเช้าๆ โดยจะมากันเป็นฝูง ใช้เวลาทั้งหมดประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนใหญ่แล้ว 90% นักท่องเที่ยวจะได้เจอโลมาแน่นอน ไม่ต้องห่วง ทะเลวันนี้ไม่มีคลื่นลม ถือว่าอากาศดีเหมาะกับการมาตามหาโลมา แต่เหมือนน้องโลมาจะเล่นตัวไปนิด เพราะผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ แล้ว เราก็ยังไม่เจอโลมาสักตัว ยิ่งสาย แดดก็ยิ่งร้อน จนเด็กน้อยในเรือทั้งง่วงและเบื่อจนหลับแล้วหลับอีก พี่ณรงค์เลยเปลี่ยนแผน พาไปเที่ยวชมบรรยากาศแถวๆ นั้นก่อน พี่ณรงค์ขับเรือพาไปชมเกาะนุ้ยนอก ที่มีแอ่งน้ำจืดอยู่บนเกาะ ตำนานแห่งหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด แต่เราไม่ได้ขึ้นไปดูด้านบน เพียงแต่ลอยเรือดูอยู่ด้านล่าง เขาหินพับผ้า เขาที่มีหินเหมือนผ้าที่พับเรียงไว้เป็นชั้นๆ ดูสวยแปลกตา หลังจากนั้นก็พาไปดูชาวบ้านให้อาหารปลาดุกทะเลที่เลี้ยงไว้ในกระชังด้วย ดูเสร็จเราเลยชวนพี่ณรงค์กลับ บอกพี่เค้าว่าไม่ต้องซีเรียสหรอก ไม่เจอก็คือไม่เจอ แต่พี่ณรงค์บอกว่า ไปวนดูกันอีกสักรอบเถอะ สงสารเด็กน้อย อุตส่าห์มาทั้งทีไม่เจอโลมาได้ยังไง ไม่อยากให้เด็กน้อยผิดหวัง พี่ณรงค์น่ารักมาก วนจนในที่สุด เราก็ได้เจอเจ้าโลมาสมใจ มีทั้งตัวสีเทา และสีชมพู มาเป็นคู่บ้าง เดี่ยวบ้าง แต่เสียดายที่เราถ่ายรูปมาไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการตามหาโลมาแล้วแหละ ถึงจะใช้เวลาไปถึง 4 ชั่วโมงก็ตาม นาทีนี้ครีมกันแดดยี่ห้อไหนก็เอาไม่อยู่นะจ๊ะ บอกเลยว่าผิวสีแทนกลับมาเลยค่ะ เสร็จภาระกิจจากการตามหาโลมา เราตั้งใจจะขับรถหาที่เที่ยวในขนอมไปเรื่อยๆ แต่ที่หนึ่งที่เราตั้งใจอยากไปมากคือ สวนตาสรรค์ เรากะว่าจะไปนั่งแช่เท้าให้ปลาตอดเล่น แต่พอไปถึงภาพที่เห็นคือรถติดออกมาถึงข้างนอกเลย คนเยอะมากๆ จนเราไม่สามารถเข้าไปได้ เราเลยเปลี่ยนใจออกมาหาที่เที่ยวแถวๆ นั้นแทน ซึ่งใกล้ๆ สวนตาสรรค์ ก็มีที่เที่ยวแนวๆ นี้อยู่หลายที่ แล้วแต่ว่าใครจะชอบตรงจุดไหนก็แวะได้ตามสะดวกเลยค่ะ สำหรับค่าเข้าก็คนละ 10-20 บาท แล้วแต่สถานที่นะคะ จุดชมวิวเนินเทวดา และเนินนางฟ้า ก็เป็นอีกจุดที่เราแวะขึ้นไปชมความสวยงามของทะเลขนอม ที่นี่นอกจากระเบียงชมวิว ยังมีดอกไม้สวยๆ ให้ดู และมีร้านกาแฟไว้นั้งชิลรับลมเพลินๆ ด้วยค่ะ กิจกรรมสุดท้ายของวันที่สอง เราพาลิงน้อยเดินจากที่พัก ไปเล่นน้ำทะเลที่ชายหาดขนอม ชายหาดที่นี่ถึงทรายจะไม่ได้ขาวมากเหมือนทางฝั่งอันดามัน แต่ก็สวย และน้ำใสเลยแหละ ที่สำคัญ คนไม่เยอะด้วย สงบมาก เหมือนได้มาเที่ยวหาดส่วนตัว นอกจากจะได้เล่นน้ำเล่นทรายแล้ว ลิงน้อยยังได้เจอคุณป้ามาขุดหาหอยเสียบอีก เลยได้ช่วยป้าหาหอยสนุกสนานกันไปเลย เล่นน้ำทะเลเสร็จ อาบน้ำอาบท่า ออกมาหาอาหารเย็นริมทางง่ายๆ แถวๆ ในเมืองทาน ก่อนจะกลับไปนอนหลับฝันดี รอเดินทาง พรุ่ง นี้เช้ากันต่อไปค่ะ เช้าวันที่สาม ก่อนจะบ้ายบายขนอม เราไม่พลาดที่จะแวะลงมานั่งจิบกาแฟหอมๆ ที่ Vish Hotel and Cafe ถ่ายรูปกับพี่โลมา ร่ำลาพี่ๆ พนักงานแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราจะพาลิงน้อยไปนอนโฮมสเตย์ครั้งแรกในชีวิต แต่ก่อนที่จะถึงที่หมาย เราก็แวะเที่ยวตามทางไปเรื่อยๆ ก่อน "หาดสิชล" เป็นหาดที่สวย และสงบมากอีกแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช ในวันที่เราไป ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มองไปทางไหนก็มีแต่เราสามคนหาดสวยสงบน้ำใสแจ๋ว จนเราอยากจะอยู่ตรงนี้นานๆ แต่ด้วยความที่แดดแรงมาก เราแวะเดินเล่น ถ่ายรูปกันได้สักพัก ก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้วค่ะ หลังจากแวะตามทางมาเรื่อยๆ (หลงมาเรื่อยๆ ด้วย) เราก็มาถึง "บ้านแหลมโฮมสเตย์" ที่นี่เราจองแพคเกจไว้ 1 คืน หลังจากติดต่อที่พัก เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกทัวร์ โดยการนั่งรถสามล้อพ่วงไปเก็บลูกหม่อนสดๆ ดูชาวบ้านทำพริกแกง ไปดูต้นมะม่วงหิมพานต์ ได้ลองทานเนื้อมะม่วงหิมพานต์ด้วย รสชาติบอกไม่ถูก ก็อร่อยนะ อร่อยแบบแปลกๆ ซ่าๆ ดีค่ะ กลับจากทัวร์ดูวิถีชีวิตชาวชุมชน ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี อาหารเย็นของเราวันนี้ บอกเลยว่าวัตถุดิบทุกอย่างสดมาก แถมยังได้ฝีมือการทำอาหารรสมือแบบชาวบ้าน อร่อยฟินมากจริงๆ ค่ะ ทานข้าวเสร็จน้องเจ้าของบ้านที่เราพัก เค้าจะไปตลาดพอดี เราก็เลยถือโอกาสติดรถไปเที่ยวตลาดกับเค้าด้วย เราชอบเที่ยวตลาดมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนขอให้ได้เดินตลาด ไม่งั้นถือว่าไปไม่ถึง โดยเฉพาะตลาดชุมชนที่มีคนพื้นที่เอาของมาขาย มันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ค่ะ เสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย มัวแต่ตื่นเต้นกับของสดของแห้งที่เค้าเอามาขายกัน ก่อนที่จะกลับที่พัก น้องพาไปกินโรตีเพิ่มไขมัน ก่อนกลับมานอนรอที่จะไปชุบตัวในอ่าวทองคำในวันพรุ่งนี้เช้ากันค่ะ เช้าวันที่สี่ เช้านี้ถือเป็นไฮไลท์ของเราเลยนะ เพราะจริงๆ ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะเราอยากรู้ว่า "อ่าวทองคำ" คือที่ไหน แล้วมีอะไรน่าสนใจ เราเลยเริ่มหาข้อมูลของที่นี่ จนได้มาเจอกับกิจกรรมที่ว่า "ล่องเรือจิบกาแฟแลหวัน (ตะวัน) และสปาโคลน" ซึ่งเช้านี้เราจะไปทำกิจกรรมนี้กันค่ะ เช้ามืด เราสามคนเดินไปลงเรือเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเลกัน ต้องบอกว่าเช้านี้มีปัญหานิดหน่อย เพราะตามแพลน เราต้องลงเรือตอนตีห้าครึ่ง เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเล และทานอาหารเช้าในเรือ อาหารเช้าในวันนี้ก็คือ ข้าวแกงกุ้งห่อใบตอง ปลาท่องโก๋ กาแฟ โอวันติน แต่ปัญหาคือนักท่องเที่ยวที่จะต้องมาเรืออีกลำพร้อมเรา .. มาสาย!!!! และเนื่องจากอาหารเช้าทั้งหมดอยู่กับเรือลำนั้น ทำให้เรือของเราต้องลอยอยู่ในทะเล เพื่อรอทานอาหารเช้าพร้อมเค้า ยิ่งสายแดดก็ยิ่งแรง ร้อนจนแสบหน้า สงสารลูกก็สงสาร หงุดหงิดจนอยากจะกลับบ้านตอนนั้นเลย ได้แต่พยายามระงับสติอารมณ์ แล้วท่องไว้ว่าเรามาเที่ยว ใจเย็นๆ .. สุดท้ายเรืออีกลำก็มา ยอมรับเลยว่าเรากินข้าวแบบหมดสนุกไปแล้ว แต่ด้วยความที่สงสารเจ้าของพื้นที่ ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ เราก็เลยไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจคือกรุ่นมากจ๊ะ ทานอาหารเช้าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาลงโคลนกันค่ะ ความคิดเราตอนแรกคือ แค่เอาโคลนมาพอกหน้าแบบสวยๆ เหมือนในสปา แต่ในความเป็นจริง คือลงทะเลไปทั้งตัวเลยจ้า ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พอกกันไปเลยจ้า เค้าว่ากันว่าโคลนที่นี่คุณภาพดี มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว แถมยังช่วยบำรุงผิว และผมด้วย คุณสมบัติดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไม พอกให้สวยกันไปข้างนึงเลยค่ะ สนุกจนลืมเรื่องเครียดกันไปเลยทีเดียว หลังจากพอกโคลนจนพอใจแล้ว ทางชุมชนก็ให้เราเอากล้าไม้ไปปลูกป่าชายเลน เป็นกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ก่อนลงเรือกลับมาล้างเนื้อล้างตัวกันที่บ้านพัก ระหว่างรอล้างตัว (ซึ่งล้างยากมาก) ก็มีบริการนวดโดยชาวชุมชน แก้เมื่อยได้ดีเลยทีเดียวค่ะ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันกันแล้ว ซึ่งแน่นอนค่ะอาหารกลางวันมื้อนี้ของเราก็คือ ซีฟู๊ดแบบจัดเต็มกว่ามื้อเมื่อเย็นวานอีก บอกเลยว่าทริปนี้กินหนักมากจริงๆ สมกับสโลแกนทริปเราคือ กินให้ยับแล้วกลิ้งกลับกรุงเทพฯ 555 นอกจากนี้ ทางชุมชนเค้าก็มีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโคลนไว้ให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาด้วยนะ ทั้งสบู่ ครีม ฯลฯ บอกเลยว่าน่าใช้มาก ซื้อกลับมาหลายอย่างอยู่เหมือนกันค่ะ ช่วงบ่าย เราร่ำลา "บ้านแหลมโฮมสเตย์" ออกเดินทางต่อ แวะเที่ยวปากพนัง แหลมตะลุมพุก แวะซื้อปลาดุกร้า ของดีขึ้นชื่อแห่งปากพนัง ก่อนที่คืนนี้ เราจะเข้าไปพักในเมืองนครศรีธรรมราชกัน บรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองนครศรีธรรมราชคึกคักมาก ที่สำคัญของกินเยอะมาก โดยเฉพาะ "ร้านโรตี" ที่นี่มีร้านโรตีเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย มีหลายร้าน แต่ละร้านก็มีหลายสาขา มีแทบทุกมุมถนน เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าร้านไหนอร่อย เพราะเราว่าความอร่อยมันขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนมากกว่า ร้านอร่อยของเรา อาจไม่อร่อยของคนอื่น เพราะฉะนั้น เราก็เลยเลือกร้านที่เราสามารถจอดรถได้ง่าย ไม่กีดขวางการจราจร คนไม่เยอะมาก สามารถนั่งกินได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะจอดรถขวางใครหรือเปล่า สำหรับครอบครัวที่กลัวอ้วน (เหรอ?) อย่างครอบครัวเรา ก็เลยสั่งมาทานแค่ไม่กี่อย่าง ได้แก่ ไก่สะเต๊ะ โรตีแกง โรตีตบ (ราดนม) โรตีพิซซ่า โรตีกล้วย โรตีชาโคล ชาร้อน เต็มโต๊ะมาก อร่อยมาก และอิ่มมากๆ ค่ะ ที่พักของเราคืนนี้ เราพักกันที่ B3 Hotel เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่อยู่ห่างจากท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชประมาณ 5 กม. โรงแรมนี้เป็นโรงแรมมุสลิม อาหารเช้าฮาลาลด้วย ตอนเราขับรถเข้าไปเช็คอิน ทางค่อนข้างมืด มองไม่ค่อยเห็นบรรยากาศอะไร แต่พอเช้ามาเท่านั้นแหละ บรรยากาศดีมาก นั่งทานอาหารเช้าวิวทุ่งนากันเลย อาหารเช้าของที่นี่บอกเลยว่าเยอะสุดๆ แถมยังหลากหลายมาก ไม่ใช่บุฟเฟต์ เป็นอาหารตามสั่งแต่ให้เยอะมากจริงๆ แถมยังมีขนม ชา กาแฟ ฯลฯ เรียกว่าอิ่มจนต้องร้องขอว่าพอแล้วจ้า หยุดเสิร์ฟก่อนเถอะจ้า 555หลังจากอิ่มจนจุกกับอาหารเช้าแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อ มานครศรีธรรมราชทั้งที ถ้าไม่แวะไปบ้านคีรีวง เดี๋ยวจะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง บ้านคีรีวงได้รับการจัดให้เป็นแหล่งอากาศดีที่สุดในประเทศไทย แต่วันที่เราไปคืออากาศร้อนมาก น้ำในลำธารก็แห้งแทบจะไม่เหลือ (ก็ไปหน้าร้อน ก็ต้องร้อนสิ เนอะ) เราก็เลยขับรถวนชมวิวรอบหมู่บ้าน แล้วออกไปหาอะไรเย็นๆ กินกันดีกว่า ณ บ้านเล็กกลางหุบเขา Little House in the Valley คือที่หมายในการแวะพักของเรา บรรยากาศดี กาแฟอร่อย แต่ตอนที่เราไป คนเยอะมาก (อีกแล้ว) ทำไมเราไปที่ไหน คนเยอะหมดเลย 5555 ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็มาละ รอคิวหน่อย .. นั่งชิลสักพักค่อยเดินทางต่อละกัน คืนสุดท้ายในนครศรีธรรมราช เราเดินทางมาถึง อ.ทุ่งสง เพื่อมาพักที่ บ้านสวนทองคำโฮมสเตย์ ราคาค่าที่พัก รวมอาหาร 2 มื้อ คนละ 500 บาท เด็กพักฟรี จากราคาที่ไม่แพง เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่พอมาถึงเกินความคาดหมายมาก ห้องพักเป็นห้องแอร์ กว้าง สะอาด เป็นสัดส่วน บริเวณที่พักก็ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ และเสียงน้ำไหลเพลินๆ ที่นี่มีกิจกรรมล่องแพไม้ไผ่ เล่นน้ำ พายเรือ หรือถ้าอยากไปเที่ยวน้ำตก ก็มีน้ำตกหนานสวรรค์อยู่ใกล้ๆ สามารถไปเที่ยวได้ค่ะ แถมอาหารฝีมือคุณป้าเจ้าของบ้านคืออร่อยสุดๆ อาหารพื้นบ้าน เราก็เพิ่งได้เคยกินที่นี่ครั้งแรกในชีวิต เคยฉลู หน้าตาคล้ายๆ ไข่ตุ๋น แต่ใส่ตัวเคยที่คล้ายๆ กะปิ ไปด้วย เจ้าเด็กน้อยติดใจมาก กินอย่างเอร็ดอร่อย นอกจากเรื่องที่พัก อาหาร ที่ว่าเด็ดแล้ว การมาพักที่นี่ เหมือนเรามาบ้านญาติ กินข้าว พูดคุย สอบถามสารทุกข์สุขดิบ เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องราวต่างๆ ชีวิตรัก ชีวิตครอบครัว เหมือนเราได้มาเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพ .. มาแล้วไม่อยากกลับเลยจริงๆ ตอนเช้าตื่นมาทานข้าวต้มไก่ ฝีมือคุณป้า ซึ่งแน่นอนว่าอร่อยมากเหมือนเดิม จนเจ้าเด็กน้อยที่ปกติไม่ชอบทานข้าวต้มเลย ตักทานไปสองถ้วย แถมยังบอกให้แม่ไปถามป้าว่าป้าทำยังไง กลับมาทำให้กินหน่อยค่ะ หลังจากอิ่มแล้ว เราร่ำลาคุณลุงคุณป้า เก็บความประทับใจใส่กระเป๋า ได้เวลาออกเดินทางกลับบ้านกันซะที สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของครอบครัวเรา เราให้ความสำคัญกับระหว่างทาง มากกว่าจุดหมายปลายทางเสมอ เพราะจุดหมายปลายทางเราได้วางแผนไว้แล้วว่าเราจะไปที่ไหน แต่เราไม่รู้หรอกว่าระหว่างทางที่เราจะไป เราจะได้พบเจอกับอะไรบ้าง บางครั้งการที่เราได้แวะไปเรื่อยๆ ในจุดที่ไม่ได้อยู่ในแผน ได้หลง ได้จอดรถถามทาง หรือได้แวะซื้อของพูดคุยกับคนพื้นที่ สิ่งเหล่านี้อาจสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ สร้างความประทับใจ รอยยิ้ม และความสุขมากกว่าปลายทางที่เราจะไปก็ได้ .. เพราะฉะนั้นอย่าลืมเผื่อเวลาเพื่อตามหาความสุขระหว่างเดินทางกันนะคะ Happiness is a way of travel, not a destination. Take me anywhere. เรื่องและภาพโดย : I-N@DA