ลมพัดแรงกระทบหน้าฉันที่ตอนนี้นั่งมองทางที่รถไฟขบวนคุ้นเคยแล่นไปตามทางที่ฉันแสนคุ้นเคย เพียงแต่ครั้งนี้มันกลับทำให้ความรู้สึกของฉันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสินเชิง ไม่มีความเคยชินใดโอบกอดฉันเลย เส้นทางเก่ากลับรูเสึกแปลกใหม่ รถไฟขบวนเก่ากลับรู้สึกน่าสนใจ เก่าอี้ตัวเก่ากลับรู้สึกชอบใจ หัวใจที่แม้จะคุ้นชินกับการขึ้นรถไฟแต่ครั้งนี้มันกลับเต้นไม่ยอมหยุดตั้งแต่ตอนรถไฟได้ออกตัวจากชานชลา แต่เอาเข้าจริง ๆ มันเต้นหนักตั้งแต่หลายวันก่อนที่ฉันจะออกเดินทางแล้วแหละ ทุกอย่างที่คุนเคยกลับดูแปลกใหม่ไปหมดเลย และแล้วราว 2 ชั่วโมงบนรถไฟฉันกับเพื่อนสนิทผู้ร่วมทางก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมายของทริปครั้งนี้ เรานัดกันว่าคืนนี้จะมารวมตัวกันที่ยะลาเพราะพรุ่งนี้เช้า วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เวลา 6 โมงเช้า จะออกเดินทางด้วยรถไฟขบวนแรกจากยะลาไปนครศรีธรรมราช แค่คิดถึงก็ตื่นเต้นไม่ไหวแล้ว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการนั่งรถไฟเก้าอี้ไม้หลายชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไรเลย เพราะมันทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย และไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรอีกบ้างเหมือนกัน แต่พอนึกภาพจุดหมายที่อยากไป ซึ่งฉันใฝ่ฝันจะเดินทางไปตั้งแต่ตอนที่ตัวเองขึ้นมหาลัยใหม่ ๆ แต่ตอนนี้ที่จะได้ไปคือกำลังจะขึ้นปี 4 แล้ว ฉันพลาดไปหลายต่อหลายครั้ง กลัวไม่รู้จะกลัวอะไรแล้ว พูดประโยคเดียวเลย ไม่ไปคือไม่มีเวลาว่างแล้วนะเว้ย เพราะรู้ดีว่าขึ้นปี 4 ทุกอย่างต้องยุ่งมากแน่นอน เรียนอีก กิจกรรมอีก Project ต่าง ๆ อีก และถ้าจะรอไปตอนเรียนจบไม่รู้ว่าจะได้ไปตอนไหนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีเวลาว่างพอให้เดินทางนั่งรถไฟเล่นเหมือนแต่ก่อนไหม? พอคิดได้ก็ไม่รอช้าจึงตัดสินใจโทรติดต่อจองที่พัก ดูทางเดินทาง และถามเพื่อนเผื่อมีใครมีความฝันเดียวกัน เราจะได้ไปสานต่อความฝันของกันและกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไปคนเดียวก็คล่องตัวกว่าเยอะ แต่การมีคนที่มีความฝัน ความรู้สึกคล้าย ๆ กันเคียงข้างไปด้วยกันมันย่อมเป็นเรื่องดีจนบอกไม่ถูกเลยนะ ผู้ร่วมทริปในครั้งนี้จาก 8 คนในวันแรกที่คุยกัน ก็เหลือ 7 คน 6 คน และในที่สุดก็เหลือสมาชิกร่วมทริปที่กำลังนั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่นครศรีธรรมราชเพียง 5 คน เอาจริง ๆ เขาไม่ค่อยให้อยากไปเที่ยวโดยมีสมาชิกเป็นเลขคี่ แต่.....เรามันคนดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังอะไรใครหรอก เรามาเพื่อสานความฝันของเรา เรามาเพื่อเติมเต็มกัน เรามาถึงนี้จากคนไม่เคยเดินทาง เหนือกว่าความสุขสบายที่เราโหยหา คือการช่วยเหลือ และฟังกันและกันมากกว่า ในระหว่างทางเราเดินทางผ่านจังหวัดแล้วจังหวัดเล่า เพื่อนที่รู้ทางก็พอจะอธิบายเส้นทางให้เราฟังบ้าง ส่วนฉันเด็กที่ไม่เคยเดินทางไปไหนไกลก็ได้แต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ เพราะด้วยการชอบเดินทางคนเดียวทำให้ทางบ้านไม่ได้ใจดีให้ฉันได้ออกไปไหนไกลคนเดียวแม้จะพยายามอธิบายถึงความโตเป็ผู้ใหญ่ของเราแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าในสายตาของพ่อกับแม่เราก็ยังคงเป็นเด็กหญิงดวงจันทราตัวน้อยของเขาอยู่ดี ฉันจึงทำได้แค่นั่งรถไปคนเดียวไปจังหวัดใกล้ ๆ แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาศที่ดีมาก ๆ ที่ฉันได้พาตัวเองออกมาเจอโลกที่กว้างขึ้น และการเดินทางที่แสนยาวนานในครั้งนี้ก็สอนให้ฉันรู้ว่าบางครั้งการมีเพื่อนร่วมทางไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ่ แต่มันเป็นการความเข็มแข่งของจิตใจที่เราพร้อมแบ่งปันและแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ไปด้วยกัน ปล่อยให้ความคิดของตัวเองได้ทำงานวนไปพาให้หลับใหลสู่ห้วงนิทรา และก็ปลุกตื่นจากการโยกตัวของรถไฟที่ยอมรับว่ามันไม่ได้ราบเรียบอะไรสักนิดเลย หลังจากคนที่เหนืองแน่นระยะทางก็ค่อย ๆ พาผู้โดยสารหายไปที่จะเล็กที่จะน้อย และค่อย ๆ เติมเต็มด้วยผู้โดยสารคนใหม่ ๆ เข้ามา ไม่ต่างอะไรกับชีวิตคนเราเลย ที่ครั้งหนึ่งเรารู้จักคนมากมายแต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปพวกเขาเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ถูกคัดออกไป รวมถึงเราเองก็ถูกคัดออกจากชีวิตของใครบางคนเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันวันเวลาก็จะเหวียงเราหรือเขาให้ผ่านพบกัน หากไปใช่ก็ผ่านพ้นไป หากมันเติมเต็มกันก็จะเคียงข้างกัน เช่นเดียวกับพวกเราในตอนนี้ที่ทั้งโบกี้เหลือเราแค่ 5 คน กับผู้โดยสารคนอื่นอีก 2 คนที่ลงก่อนจุดหมายของเรา เราทั้ง 5 คงเป็นคนที่ถูกเหวียงให้มาเจอะเจอและเติมเต็มให้กันในการเดินทางครั้งนี้ และฉันก็เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าความสัมพันธ์ที่ก่อตัวครั้งนี้มันจะอยู่กันแสนยาวนานต่อไป ในที่สุดเกือบ 6 ชั่วโมงจากการเดินทางก็พาเราทุกคนมาจอกนิ่งอยู่ที่ชานชลาของสถานี้รถไฟนครศรีธรรมราช ไม่รอช้าเราทั้ง 5 คนก็หยิบกระเป๋าสะพายหลัง หยิบสำภาระต่าง ๆ ของตัวเองติดมือไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้เจ้าหน้าที่ของมาช่วยจัดการที่หลัง บันทึกรีวิวที่ฉันได้ทำการสำรวจไว้อ่านไปก็ถูกกางออก แผนต่อไปของเราคือเดินไปขึ้นรถ 2 แถวเพื่อมุ่งตรงยังจุดหมายหลักของเราในคครั้งนี้นั้นคือ หมู่บ้านคีรีวง นั่งรถไปได้ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเพราะทุกคนเอาแต่หลับ ๆ ตื่น ๆ ด้วยสภาพร่างกายที่ค่อนข้างเหนื่อยล้าจากการเดินทางออกจากบ้านเมื่อวาน บวกกับการนั่งรถไฟ ฉึก ฉึก มา 6 ชั่วโมง และการเดินวนวิ่งเล่นแก้เบื่อบนรถไฟอีก จึงไม่แปลกเลยที่ตอนนี้สภาพของเราทุกคนจะกอดกระเป๋าตัวเองแล้วก็ฟุบหลับไปโดยไม่สนใจใครต่อใครที่ขึ้นลง จะเข้าคีรีวงแล้วววววววว เสียงใครคนหนึ่งใน 5 คนดังขึ้นปลุกทุกคนในตื่นขึ้นมาตาลุกวาว ภาพถนน ธรรรมชาติ บรรยากาศต่าง ๆ รอบตัวตอนนี้บอกให้เรารู้ว่าเรากำลังเดินทางเขาสู่ความเป็นธรรมชาติ และความเป็นหมู่บ้านที่มีอากาศดีติดอันดับประเทศ ลุงขับสองแถวขับเรื่อย ๆ พาเราเข้าสู่ธรรมชาติที่ลึกขึ้น ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนมาจอดนิ่งที่สะพานซึ่งบอกให้เรารู้ว่าตอนนี้เราได้มาถึงที่หมายแล้ว ความสุขที่ล้นอยู่ในหัวใจก็เผยออกมาเป็นรอยยิ้มอันแสนหวาน เราหันมายิ้มให้กันโดยไร้แม้บทสนทนาใด ๆ มันคือความสุข มันคือความฝัน มันคือการที่เราได้เติมเต็มความฝันของตัวเอง แม้จะเป็นเพียงความฝันเล็ก ๆ แต่มันแสดงให้เห็นว่าเรากล้าที่จะพาตัวเองออกมา กล้าที่จะพาตัวเองมาเจออะไรใหม่ ๆ แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้วที่เราจะมีความสุขกับชีวิตของเรา ชีวิตไม่ได้มีเวลามากพอให้เรารอ รอ รอ รอวันที่ตัวเองพร้อม ถ้าวันนั้นฉันเลือกที่จะรอ รอต่อไป ฉันก็คาดว่าจะต้องต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพร้อมตอนไหนกันแน่หรือเอาเข้าจริง ๆ วันที่เราพร้อมมันไม่มีอยู่จริงอย่างที่หลังสือเล่มหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเม่อตอนยังเป็นเด็กเขาได้บอกว่า วันที่พร้อมที่สุดสำหรับคนเราคือวันพรุ่งนี้ นั้นหมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงเพราะเราไม่สามารถไปถึงวันพรุ่งนี้ได้เลย สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือลงมือทำโดยไม่ต้องรออะไรแล้ว เพราะความฝันไม่ได้มีอายุอยู่กับเรานานนัก หลังจากถ่ายรูปเสนร็จเราจึงขอให้ลุงสองแถวขับพาไปส่งที่พักให้หน่อย เนื่องที่พักที่จองไว้อยู่ไกลเข้าไปอีกหน่อย แต่มันก็ไกลมากพอสำหรับการเดินเท้าเข้าไปหรือปั่นจักรยานเข้าไปพร้อมสัมภาวะที่หนักอึ้งนี้ ในที่สุดรถจอดเทียบที่หน้าทางเข้าของที่พัก ภาพคล้ายกระท่อม คล้ายบังกะโล เล็ก ๆ ที่วางเรียงรายอยู่ 4 - 5 หลัง คือที่พักของเราในคืนนี้ และคืนพรุ่งนี้ที่แผนของเราถูกเปลี่ยนระหว่างนั่งอยู่บนรถจะมาถึงที่พักทั้งที่จริงคือจะเดินทางต่อไปขนอม แต่พอได้มาสัมผัสบรรยากาศจริงเราก็ไม่มีใจที่จะไปที่อื่นแล้วอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศของคีรีวงให้ได้มากที่สุด หลังจัดการเคลียร์ค่าที่พักอะไรต่าง ๆ อ๋ออออออ!!! ครั้งนี้เป็นทริปประหยัดนะคะ ฉันจึงเลือกที่พักที่จะช่วยเราทุกคนประหยัดเงินให้ได้มากที่สุดและที่นี้ก็ตอบสนองความต้องการของเราได้ บ้านหลังหนึ่งคืนละ 500 บาท พักได้ 5 คน ตกคนละ 100 บาท 2 คืนก็เท่ากับ คนละ 200 บาท ถึงอาจจะไม่ได้สบาย หรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากแต่มันก็ไม่ได้แย่เลยนะ เคลียร์ค่าที่พักเสร็จแล้วป้าก็พาเราไปเปิดห้องจัดวางของ กินข้าว นั่งพัก พอเอาแรง ไม่รอช้าหลังจากกินอิ่ม แล้วหลักพักผ่อนไปงีบหนึ่งเราก็รีบแต่งตัวเดินออกไปตามหาร้านเช่าจักรยานตามที่ป้าเจ้าของที่พักได้บอกไว้ เดินออกไปไม่ไกลมากแต่ก็พอเอาหอบอยู่เนื่องจากทางมันลานชันขึ้นเขาเราก็มองเห็นจักรยานจอดเรียงรายอยู่ แต่มารู้ที่หลังจากขอเช่าว่าจริง ๆ นี้คือร้านซ่อมจักรยานร้านเช่าอยู่อีกฟาก ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วก็รีบเดินออกไปด้วยความอาย ๆ ตรงไปอีกฟากหนึ่งของถนน เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ทุกคนต่างก็รีบเลือกจักรยานคู่ใจให้ตัวเองสำหรับทริปนี้ เราปั่นจักรยานขึ้นไปพบกับสะพานไม้แขวนที่เลื่องลือ ไม่มาก็ถือว่าไม่ถึง แต่สำหรับคนกลัวความสูงอย่างฉันและเพื่อนอีกคนหนึ่งมันไม่ใช่การดีเท่าไรที่จะเดินเล่นข้ามสะพานแขวนที่สูงจากพื้นน้ำนี้ มาแล้วไม่ขึ้นไปถ่ายรูปก็เหมือนมาไม่ถึงแหละเนอะ คิดได้อย่างนั้นฉันกับเพื่อนคนหนึ่งก็สละความกลัวเก็บไว้ในตะกร้าจักรยานแล้วก็จับมือกันเดินขึ้นสะพานไปอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ก้าว ค่อย ๆ เดิน เพื่อบรรยากาศ เพื่อภาพสวย ๆ ผู้หญิงอย่างเรายอมได้ทุกอย่าง แม้จะระมัดระวังแค่ไหนแต่เจ้าเพื่อคนกล้าอีก 3 คนก็ช่างแกล้งเสียจริง ทั้งเดินเร็ว ๆ ให้สะพานเขย่า ทั้งเขย่าสะพาน แต่มันก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนานที่เราได้เล่นกัน เอาจริง ๆ กลัวก็กลัวแต่มันมีความสุขมากเลยนะ หลังจากได้รูปสวย ๆ มากพอที่จะลงโซเชียลไปอีกแสนนาน เราก็ปั่นจักรยานขึ้นเขาไปหน่อยหนึ่งก็พบกับร้านกาแฟเล็ก ๆ บรรยากาศดี ๆ นั่งพักผ่อนอย่างสบายใจ พลางพูดคุยกันถึงเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ก่อนหน้านี้เราอาจไม่ได้สนิทกันขนาดจะมาพูดคุยแบบวันนี้ แต่ความลำบากตลอดการเดินทางทำให้เราเปิดใจให้กันมาขึ้น เชื่อใจกันมากขึ้น เครื่องดื่มของร้านนี้ในเย็นวันนั้นก็คงเทียบกับว่าเป็นน้ำสาบานความเป็นเพื่อนของพวกเรา ไปกันต่อเถอะ หลังจากเวลาบอกเราว่าตอนนี้เริ่มเย็นมากแล้ว หากมัวแต่นั่งตากลมชิล ๆ อยู่เช่นนี้ต่อไปคงไม่ทันการแน่ ๆ จึงไม่รอช้าให้ฟ้าได้ทันมืดไปกว่านี้เราทุกคนก็รีบปั่นจักรยานลงเขาเลยที่พักไปแล้วปั่นต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อนสำรวจว่ามันมีอะไรให้เราให้แวะเวียนในเช้าวันรุ่งขึ้นบ้าง ลมเย็น ๆ เริ่มพัดกระทบหน้าตอนที่ขาทั้งสองข้างปั่นจักรยานคู่ใจไปเรื่อย ๆ เราพบเจอกับชาวบ้านที่กำลังลงจากเขาเพื่อกลับบ้าน เสียงนกร้องเริ่มดังขึ้น ข้างทางที่ไม่ได้มีไฟให้เรามองเห็นทางได้ชัดเจนสักเท่าไร แต่ก็ยังดีที่ด้านหน้าจักรยานจะมีไฟสว่างขึ้นมาลาง ๆ เมื่อเราปั่นมันถี่ ฟ้ามืดสนิทเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องเริ่มปั่นกลับที่พักเพื่อพักผ่อนและลุยต่อวันรุ่งขึ้น รับบัตรคิวเพื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็มีเพื่อนอาสาทำหน้าที่ต้มน้ำเพื่อฉลองมาม่ากันในค่ำคืนที่อากาศเริ่มหนาว ภายในวงมาม่าเต็มไปด้วยเรื่องเล่าต่าง ๆ นานา และเคร่งเครียดกับการส่งรูปแต่งรูปแล้วลงโซเชียลกัน หลังจากสบายตัว อิ่มท้อง สลายใจ เราก็ทิ้งตัวลงนอนไปกับเบาะบาง ๆ ที่แสนนุ่มด้วยความรู้สึกของเรากันเอง แล้วก็หลับไปพร้อมกับบทสนทนาที่ไม่รู้ว่าจบไปตรงจุดไหนเหมือน ราตรีสวัสดิ์นะคะ ไว้มาเล่าต่อ