ระนอง เมืองเล็กๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติรายล้อมด้วยขุนเขาและทะเลอันดามัน เป็นเสน่ห์มนต์ขลังที่ใครหลายๆ คนได้มีโอกาสมาสัมผัสต่างพากันหลงใหล "นายรอบรู้" ขันอาสาพาไปเปิดหูเปิดตาเที่ยวเมืองระนอง รับรองว่าเข้าถึงทุกซอกทุกมุมถูกใจนักเดินทางขาลุยอย่างแน่นอน เราเปิดประเดิมกันที่ "บ้านค่ายเจ้าเมืองระนอง" หรือ "จวนเจ้าเมืองระนอง" ตั้งอยู่ที่ ถ. กิจผดุง ในเขตตัวเมืองระนอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2420 ในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอ ซู้ เจียง) เจ้าเมืองระนองคนแรก เดิมเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ได้ผุพังไปตามกาลเวลาคงเหลือเพียงเสาและพื้นหินไว้ให้เห็น ปัจจุบันจวนเจ้าเมืองระนองได้ปรับปรุงทำเป็นศาลบรรพบุรุษ ต้นตระกูล ณ ระนอง บริเวณประตูทางเข้าไปยังในศาล มีแผ่นป้ายสีทองเขียนเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนอ่านว่า "เกา-หยัง" แปลว่า "ดวงตะวันอันสูงส่ง" แกะสลักเป็นรูปค้างคาวคาบของขวัญโบยบินอยู่ท่ามกลางเมฆ ชาวจีนเชื่อว่าค้างคาวเป็นสัตว์มงคล เพราะกินที่สูง นอนที่สูง นอกจากนี้ภายในยังเป็นที่เก็บป้ายชื่อบรรพบุรุษ ภาพถ่ายเก่าๆ ของคนในตระกูล ณ ระนอง สิ่งของเครื่องใช้ของเจ้าเมืองระนองคนแรกอีกด้วย ไปกันต่อที่ "พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง)" แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองระนอง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขารัตนรังสรรค์ ใกล้ศาลากลางจังหวัดระนอง สร้างในสมัยพระยารัตนเศรษฐี (คอ ซิม ก๊อง) เจ้าเมืองระนองในขณะนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกเป็นครั้งแรก พระราชวังแห่งนี้ทรุดโทรมสูญสลายไปตามเวลา ปัจจุบันได้มีการสร้างพระราชวังจำลองขึ้นมาใหม่จากภาพถ่ายเก่าๆ สร้างไว้บนเนินเขาใกล้เคียงกับที่ตั้งพระราชวังเดิม เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระองค์ท่าน ภายในมีอาคาร 3 หลัง ได้แก่อาคารท้องพระโรง อาคารพระที่นั่ง และอาคารแปดเหลี่ยม จำลองบรรยากาศของพระราชวังในอดีตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น อ่างสรงน้ำ พระเก้าอี้ที่ประทับ โต๊ะเครื่องแป้ง เป็นต้น ออกมานอกเมืองไม่กี่อึดใจเราก็มาถึง "ภูเขาหญ้า" ที่เที่ยวอันซีนไทยแลนด์ เป็นเนินเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง-พังงา) ที่มีลักษณะเป็นเขาหัวโล้นตามธรรมชาติ คือ มีแต่ต้นหญ้าปกคลุมโดยไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น มองไปทางไหนก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ยิ่งยามลมพัดมาเหล่าต้นหญ้าก็พลิ้วไหวเป็นคลื่นไปตามสายลม ดูสวยงามไปอีกแบบ ช่วงเวลาที่มาควรเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็น ยิ่งเพิ่มอรรถรสความสวยงามขึ้นอีกเท่าตัว นักเที่ยวส่วนใหญ่นิยมแวะมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ยังสามารถเดินขึ้นไปบนภูเขาหญ้าเพื่อชมทิวทัศน์ด้านบนได้ด้วย จากนั้นเราออกเดินทางไปยัง อ. สุขสำราญ เพื่อไปชม "ดอกพลับพลึงธาร" ที่คลองนาคา เราถือเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวเมืองระนองคราวนี้ เพราะเจ้าดอกพลับพลึงธาร หรือหญ้าช้องในชื่อภาษาท้องถิ่น นั้นเป็นพืชน้ำหายากที่พบได้ในเฉพาะถิ่น เป็นพืชประเภทไม้ล้มลุกขยายพันธุ์ด้วยหัวจากใต้น้ำ เจริญเติบโตได้เฉพาะในแหล่งน้ำสะอาดที่มีการไหลหมุนเวียนเท่านั้น และจะบานในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ประจวบเหมาะเรามาในช่วงที่กำลังออกดอกพอดิบพอดี เราไม่รอช้าก็มาลงแพกัน ณ บ้านฝ่ายท่า อันเป็นที่ตั้งของ "ชมรมเพลินไพร ศรีนาคา" เกิดจากการรวมกลุ่มของชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์พลับพลึงธารให้อยู่คู่กับคลอง นาคา ในรูปแบบกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การล่องแพที่นี่สบายใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพราะสายน้ำไหลไม่แรง แม้บางช่วงจะลึกแต่ส่วนใหญ่ก็ตื้น แต่เพื่อความปลอดภัยทางทีมงานก็กำชับให้ทุกคนที่ล่องแพสวมเสื้อชูชีพกันไว้ ก่อน ส่วนแพก็มีให้เลือกทั้งแพยาง และแพไม้ไผ่แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน แต่นักท่องเที่ยวจะเลือกใช้บริการแพไม้ไผ่กันมากกว่า เพราะดูเข้ากับบรรยากาศธรรมชาติดี แพไม้ไผ่นั้นสามารถนั่งได้ 4-5 คน มีคนถ่อแพทางหัวและท้าย โดยแพไหลไปตามสายน้ำชมทิวทัศน์ข้างทางแบบชิลล์ ชิลล์ ผ่านสวนผลไม้ สวนปาล์ม สวนกาแฟ ของชาวบ้าน รวมระยะทางที่ล่องแพประมาณ 2 กม. ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง ไม่นานนักเราก็ได้พบเห็นดอกพลับพลึงธารชูดอกสีขาวอยู่ กลางสายน้ำ ขึ้นเป็นดอกเดี่ยวๆ บ้างก็ขึ้นกระจุกอยู่กันเป็นกลุ่ม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วคุ้งน้ำ ส่วนใบของต้นพลับพลึงธารเป็นสายยาวสีเขียวสดพลิ้วไหวไหลลู่ตามสายน้ำคล้าย ริบบิ้นดูสวยงามไปอีกแบบ หลังจากเหน็ดเหนื่อยเที่ยวกันมาทั้งวัน เราจะพาไปแช่น้ำแร่ เพราะเมืองระนองนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองน้ำแร่มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ที่เราไปมีถึงสองแห่ง ที่แรกคือ "บ่อน้ำพุร้อนบ้านพรรั้ง" อยู่ในส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว จุดเด่นของบ่อน้ำแร่นี้คือ น้ำแร่ผุดซึมขึ้นมาตามรอยแตกของหิน ทางอุทยานก็ได้สร้างบ่อเก็บกักน้ำเอาไว้ มีทั้งบ่อแช่ตัว บ่อแช่เท้า อยู่กลางแจ้งรายล้อมด้วยธรรมชาติ โดยมีอุณหภูมิของน้ำโดยเฉลี่ย 55 องศาเซลเซียส จากนั้นเราไปกันต่อที่ "สวนสาธารณะรักษะวาริน" หรือ "บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน" ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ผู้คนจากทั่วสารทิศแวะเวียนไปเที่ยวไม่ขาดสาย เพราะอยู่ใกล้ตัวเมือง เป็นบ่อน้ำแร่มีอยู่สามบ่อด้วยกัน คือ บ่อพ่อ บ่อแม่ บ่อลูกสาว ซึ่งไม่สามารถลงไปแช่ได้ เพราะมีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส แต่ทางเทศบาลจังหวัดระนองได้สร้างทำเป็นบ่อแช่น้ำแร่ที่มีการปรับอุณหภูมิให้ลดลงมา เพื่อสะดวกแก่การลงไปแช่น้ำแร่ มีทั้งบ่อแช่เท้า บ่อแช่ทั้งตัว และบ่อเล็กๆ ไว้สำหรับต้มไข่กินได้ด้วย เชื่อว่าการพามาเที่ยวระนองครั้งนี้คงจะถูกอกถูกใจ พอที่จะสะกดให้ใครหลายคนหลงใหลในเสน่ห์ความหลากหลายของเมืองระนองแห่งนี้ ขอขอบคุณ ททท. กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางครั้งนี้ โทร. 0-2250-5500, 0-2250-5500 ต่อ 4525, 4526