ผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โควิด-19 (COVID-19) นอกจากจะเป็นอันตรายสุขภาพร่างกาย บ่อนทำลายเศรษฐกิจ สังคมเป็นวงกว้าง ตามที่คุณผู้อ่านคงได้ติดตามสถานการณ์ข่าวสารมาโดยตลอดแล้วนั้น วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน ที่ขวัญและกำลังใจถูกบั่นทอน อันเป็นสภาวะที่ต้องการได้รับการเยียวยา ควบคู่ไปการการรับมือในการป้องกันและรักษาอาการป่วยจากเชื้อโรคดังกล่าว /ภาพโดย Freakwave จาก Pixbay/ การบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจและอารมณ์ที่ไหวหวั่นสั่นคลอน มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งอาจรวมถึงการหาที่พักพิงหรือยึดเหนี่ยวทางจิตใจ แนวทางปฏิบัติทางศาสนาน่าจะเป็นคำตอบที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่ง ซึ่งสำหรับพระพุทธศาสนาที่อยู่คู่สังคมไทยมาแต่โบราณ มีกุศโลบายประการหนึ่งที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีต คือ การสวดมนต์ และหากจะหาบทสวดมนต์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หลายคนที่มีความรู้หรือความสนใจในการสวดมนต์ก็น่าจะนึกถึงบทสวดมนต์บทหนึ่งที่ชื่อ "รัตนสูตร" หรือ "รัตนปริตร" ผม (ผู้เขียน) มีโอกาสได้รู้จักและเรียนรู้บทสวดนี้ในช่วงที่ลาอุปสมบทเมื่อหลายปีก่อน เพราะเป็นบทสวดบทแรก ๆ ที่ต้องฝึกหัดไว้สวดเวลาได้รับกิจนิมนต์ไปงานพิธีต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ ท่านคงสังเกตได้ว่า ในงานพิธีมงคลนั้น จะมีบทเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ที่ใช้สวดอยู่ไม่กี่บทอันเป็นแบบแผนเดียวกัน ที่เรียกว่าเจ็ดตำนานบ้าง สิบสองตำนานบ้าง และหนึ่งในนั้นคือบทสวดมนต์ที่กล่าวถึงนี้เอง ด้วยความสนใจใคร่รู้ในตอนนั้นทำให้นำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติม นอกจากคำแปลจากภาษาบาลีแล้ว ยังค้นหาประวัติความเป็นมาจนทราบว่า จุดเริ่มต้นของพระสูตรดังกล่าว มาจากพุทธประวัติช่วงที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองเมืองเป็นผู้อุปฐาก (ผู้ถวายการดูแล) ครั้งนั้นที่อีกเมืองหนึ่งคือ เมืองเวสาลีหรือไพสาลี ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของกษัริย์ตระกูลลิจฉวี เกิดภัยพิบัติสามประการ คือ ภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพง (ทุพภิกขภัย) ภัยจากอมนุษย์ คือ ภูตผีปิศาจ (ซึ่งในความคิดผมเข้าใจว่าอาจรวมถึงบรรดาเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย ด้วย) เข้ารบกวนรังควาญ และภัยจากโรคระบาด ตอนแรกชาวเมืองสงสัยว่า สถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการที่ผู้ปกครองเมืองไม่อยู่ในศีลในธรรม แต่เมื่อเจ้าลิจฉวีผู้ครองเมืองเปิดโอกาสให้ตรวจสอบแล้วก็ไม่พบว่าเป็นอย่างที่สงสัยแต่อย่างใด จึงหาทางแก้ปัญหาโดยหารือกันว่า ต้องเชิญผู้วิเศษหรือศาสดาของศาสนาหรือลัทธิใดลัทธิหนึ่งมาช่วยบำบัดภัยที่เกิดขึ้น และได้ข้อสรุปว่าให้อาราธนาพระพุทธเจ้ามาจากกรุงราชคฤห์ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จมาโปรดชาวเมืองเวสาลี โดยเมื่อมาถึงเมือง ได้มีฝนตกชะล้างสิ่งสกปรก รวมถึงบรรดาซากศพของผู้ที่เสียชีวิตด้วยภัยพิบัติเหล่านั้นจนเมืองสะอาดสะอ้าน จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเรียกพระอานนท์ ซึ่งเป็นพุทธอนุชา (น้องชายที่มาบวชด้วย) มาเรียนบทสวดรัตนสูตรหรือรัตนปริตรนี้ แล้วให้นำมนต์ที่เรียนดังกล่าวไปสาธยายภายในเมืองเวสาลี ผลก็คือ เมื่อพระอานนท์สาธยายเนื้อหาแห่งมนต์ดังกล่าว ทำให้บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายในเมืองอยู่ไม่ได้ ต้องพากันหนีกระเจิงไป ส่งผลให้ผู้คนหายจากโรคระบาด ปัญหาภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพงก็คลี่คลายไป โดยพระอานนท์ได้นำน้ำพระพุทธมนต์ที่ได้จากการสาธยายมนต์ดังกล่าวปะพรมทั่วเมืองเพื่อให้ความเป็นศิริมงคลและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายด้วย นี่คือตำนานเรื่องเล่าที่ผมได้ฟังมา ซึ่งต่อมาทราบว่าปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก ในส่วนที่เรียกว่าพระสุตตันปิฏก หมวดขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ โดยที่นำมาเล่าต่อนี้เป็นการเรียบเรียงด้วยภาษาผมเองซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นทางการนัก แต่ก็คงรักษาเนื้อความให้ครบถ้วน /ภาพโดย terimakasiho จาก Pixabay/ สำหรับเนื้อหาของมนต์นี้ ที่พระสงฆ์ใช้สวดหรือแม้แต่ฆราวาสอย่างเรา ๆ ก็อาจจะเคยสวดในโอกาสสำคัญ เช่น สวดมนต์ข้าวปีช่วงปีใหม่ จะมีทั้งฉบับย่อและฉบับเต็ม ซึ่งผมขออนุญาตแนะนำบทสวดฉบับเต็มในหนังสือ "มนต์พิธีสำหรับพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป" ซึ่งรวบรวมโดย พระครูอรุณธรรมรังษี (เอี่ยม สิริวัณโณ) วัดอรุณราชวราราม ตามภาพด้านล่าง ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นตา เพราะเป็นตำรามนต์พิธีคลาสสิคที่ใช้กันแพร่หลายมาเป็นเวลานาน (ผมก็เริ่มเรียนรู้บทสวดมนต์สำคัญต่าง ๆ มาจากตำราเล่มนี้เช่นกัน ) หรือถ้าไม่มีตำราดังกล่าว ก็สามารถค้นหาจากอินเตอร์เน็ตได้ไม่ยาก / ปกหนังสือ มนต์พิธี ภาพโดย 31singha/ / บทสวดมนต์ รัตนสูตร หรือ รัตนปริตร จากหนังสือมนต์พิธี ภาพโดย 31singha/ / บทสวดมนต์ รัตนสูตร หรือ รัตนปริตร จากหนังสือมนต์พิธี ภาพโดย 31singha/ / บทสวดมนต์ รัตนสูตร หรือ รัตนปริตร จากหนังสือมนต์พิธี ภาพโดย 31singha/ สำหรับคำแปลของบทสวดมนต์นี้ ผมขออนุญาตสรุปเนื้อหาใจความคร่าว ๆ คือ เป็นการป่าวประกาศเชิญชวนเหล่าภูต อมนุษย์ทั้งหลายในพื้นที่ ให้เป็นผู้มีจิตใจดี มีเมตตา ดูแลรักษามนุษย์ และพรรณาถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน และพระสงฆ์สาวก ว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่ารัตนะ (แก้วมณี) ใด ๆ ในโลก (ซึ่งเข้าใจว่าเป็นที่มาของชื่อ "รัตนสูตร") และอาศัยอานุภาพแห่งการป่าวประกาศสัจจะนี้ ให้นำมาซึ่งความโชคดีแก่มนุษย์และสรรพสัตว์ นี่คือเนื้อหาคำแปลโดยสรุป ซึ่งหากคุณสนใจอยากทราบคำแปลโดยละเอียด แนะนำให้คลิกเข้าไปอ่านที่เว็บไซต์ www.84000.org จากตำนานและเนื้อหาแห่งพุทธมนต์ดังกล่าว ทำให้รัตนสูตรหรือรัตนปริตรเป็นอีกหนึ่งบทสวดในการเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีมงคลต่าง ๆ มาแต่อดีต โดยเชื่อกันว่า มีอานุภาพในการขจัดปัดเป่าภัยอันตรายโดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บ ดังเช่นที่ปรากฏในตำนาน ซึ่งหากพิจารณาถึงผลที่จะเกิดขึ้น ส่วนตัวผมมองว่า อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรวบรวมจิตให้เป็นสมาธิทั้งผู้สวดและผู้ฟัง และระดับสมาธิที่สูงขึ้นก็อาจก่อให้เกิดพลังงานหรือกำลังใจ ในการขับเคลื่อนสิ่งที่ประสงค์ให้บรรลุตามเป้าหมาย ลักษณะบทสวดปลุกขวัญและกำลังใจของทหารในการทำสงครามในสมัยก่อน หรือคาถาด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมที่อาศัยสมาธิจิตด้านเมตตาดึงดูดกระแสความรักความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นแก่ผู้สวด เป็นต้น /ภาพโดย agmclellanจาก Pixabay/ ด้วยเหตุดังกล่าว หลังจากเกิดวิกฤตโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ผมเองซึ่งเคยบวชเรียนและเป็นผู้สนใจเรื่องการสวดมนต์อีกคนหนึ่งก็เลยนึกถึงบทสวดนี้ และโดยส่วนตัวก็ได้ยกขึ้นมาสวดเป็นครั้งคราวในการสวดมนต์ทำสมาธิที่ทำเป็นปกติวิสัยตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ซึ่งชั่งใจอยู่ว่าจะหยิบยกขึ้นมาเขียนนำเสนอหรือแบ่งปันแก่ผู้อ่านดีหรือไม่ เพราะใจหนึ่งก็เกรงจะถูกมองว่านำเสนอแนวทางที่เป็นนามธรรม ยากแก่การพิสูจน์หรือจับต้องได้ในสถานการณ์ที่ต้องการหนทางแก้ปัญหาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม แต่เท่าที่ทราบว่า มีพระสงฆ์ในหลาย ๆ วัดที่มีแนวคิดและกิจกรรมสวดมนต์บทดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว และขยายวงกว้างจนกลายเป็นแนวทางดำเนินการของรัฐบาลที่จัดให้มีการสวดมนต์ขับไล่เชื้อไวรัสในปลายเดือนมีนาคม ผมจึงได้ตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนี้ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งมิใช่เป็นเกาะกระแส และไม่ประสงค์จะให้เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือร่วมวงขัดแย้งในกรณีที่ช่วงที่ผ่านมามีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายต่อแนวทางดำเนินการดังกล่าว หากแต่ในมุมมองของผม ให้น้ำหนักความสำคัญในประเด็นที่ว่า นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างขวัญ กำลังใจ บำบัดปัญหาจิตใจและอารมณ์ที่อยู่ในสภาวะติดลบอันเป็นผลกระทบจากปัญหาใหญ่ที่เผชิญอยู่นี้ ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการป้องกันและรักษาทางกายภาพที่ทำอยู่ เพราะการมีสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง มีสติมั่นคง ไม่ตื่นตระหนก ย่อมมีผลในการช่วยสร้างภูมิต้านทานทั้งทางร่างกายและทางสังคม เพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน โดยในส่วนวิถีทางปฏิบัตินั้นก็สามารถพิจารณาตามความเหมาะสมและปลอดภัย เช่น การสวดมนต์ตามลำพังแทนการรวมกลุ่มชุมนุมชนในที่พื้นที่จำกัดอันมีความเสี่ยงต่อได้รับเชื้อโรคติดต่อ เป็นต้น /ภาพโดย Sippakorn จาก Pixabay/ อย่างน้อยถ้าไม่โฟกัสเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเรื่องลี้ลับ ก็อาจมองในมุมบวกอีกด้านหนึ่งได้ว่า เป็นการเสริมสร้างสุขภาพ(จิต) เพื่อให้มีพลังร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตด้วยต้นทุนที่น้อยมาก แต่ผลที่ได้อาจจะมากกว่าที่คิดก็ได้ ขอเพียงเปิดใจและตั้งใจจริงเท่านั้น ภาพปกบทความโดย agmclellan และ PIRO4D จาก Pixabay