เมื่อฤดูร้อนมาเยือนในเดือนเมษายน ม่านหมอกที่ปกคลุมประเทศไทยยังไม่จางลง ทั้งสถานการณ์วิกฤตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 (covid-19) และการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งตามมาด้วยข้อกำหนด มาตรการต่าง ๆ เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลให้หลายคนตกอยู่ในความหวั่นวิตกต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่หยุดพักอยู่กับบ้าน คนที่ได้เปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือคนที่ยังต้องออกไปใช้ชีวิต ทำงานตามปกติ ซึ่งลึก ๆ ในใจหลายคนต่างก็คงเรียกร้องหรือมองหาหนทางจัดการกับความเสี่ยงหรือภาวะบีบคั้นที่แบกรับอยู่ให้ลดน้อยลง จนกว่าจะหมดไปในอนาคต /ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงต้องออกไปใช้ชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ : ขอบคุณภาพประกอบจาก Freepik/ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วงนี้ยังจำเป็นต้องออกไปทำงานและดำเนินชีวิตภายนอกเคหสถาน เนื่องจากงานประจำที่ทำอยู่ยังไม่เปิดช่องให้สามารถ Work from Home ได้ จึงจำต้องมีความตื่นตัวในการหาแนวทางรับมือกับสถานการณ์ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันทั้งการทำงานและภารกิจส่วนตัวไปด้วยความราบรื่น ไม่สะดุด หยุดชะงัก หรือมีอุปสรรคทั้งจากการประกาศใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงและสถานการณ์วิกฤตเชื้อโรคร้ายดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ยังคงรักษาเนื้อรักษาตัวมาได้โดยไม่รู้สึกยากลำบากอะไรมากนัก จึงอยากนำประสบการณ์และวิธีการปฏิบัติมาแบ่งปัน เผื่อผู้อ่านท่านใดสนใจจะนำไปปรับใช้และเกิดประโยชน์บ้าง การดำเนินชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปกติในช่วงที่ผ่านมา และในอนาคตจนกว่ามันจะผ่านไป ผมใช้แนวทาง "ลดการเสพสื่อ - ไม่ดื้อไม่รั้น - ดำรงขวัญและกำลังใจ " / 3 หนทางรักษาตัวรอด ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากวิกฤต covid-19 : ภาพโดย 31singha/ 1. ลดการเสพสื่อ แนวทางนี้ไม่ใช่ความไม่ใส่ใจรับรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ เพราะมิใช่การงดหรือเลิกติดตามข่าวสาร หากแต่เป็นการลดปริมาณการรับข้อมูลหลาย ๆ ด้านที่ถูกถั่งโถมนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะสื่อมวลชนหลักหรือช่องทางอื่น ๆ ที่ต้องยอมอย่างหนึ่งว่า หลายครั้งมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน จนเป็นที่มาของ 1 ใน 16 มาตรการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 1) ที่นายกรัฐมนตรีออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันเดียวกับที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าว โดยข้อกำหนดฯ ข้อ 6 ห้ามเสนอข่าวสารหรือข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นความจริง บิดเบือน หรือทำให้ประชาชนตื่นกลัว อันสะท้อนให้เห็นสภาพปัญหาอย่างหนึ่งจากการนำเสนอข้อมูลของสื่อบางแห่ง ที่นอกจากจะไม่ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสื่อได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังก่อให้เกิดความตื่นตระหนก บั่นทอนสุขภาพจิตโดยไม่มีเหตุอันควร ดังนั้น หนทางรับมือ คือต้องเลือกรับข้อมูลเฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อันจะเป็นประโยชน์มากกว่าการเปิดรับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา /ภาพประกอบโดย thedarknut จาก Pixabay/ สำหรับผมเองอาจจะนับว่าเป็นเรื่องดี ที่มีกลุ่มไลน์ในการทำงาน ซึ่งสมาชิกต่างให้ความสำคัญในการนำเสนอและส่งต่อข้อมูลที่คัดกรองแล้วและอ้างอิงได้ เช่น ข้อมูลที่มาจากประกาศ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือหนังสือแจ้ง สั่งการ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งแม้ว่าบางเรื่องอาจต้องอ่านและทำความเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นกว่าข้อมูลที่สรุปนำเสนอผ่านสื่อแบบง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้เชื่อได้ว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นถูกต้อง และเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากช่องทางอื่น ๆ สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังจำเป็นหรือสะดวกที่จะรับข้อมูลทางสื่อ ก็อาจเลือกสื่อที่น่าเชื่อถือได้ เช่น ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ที่เป็นศูนย์กลางการแถลงข่าว นอกจากนี้ หากพอมีเวลาและอยากจะอ่านเรื่องราวสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงมุมมอง ประสบการณ์ตรงที่ผู้เขียนนำมาแบ่งปันกันเป็นการเฉพาะ โดยสามารถเข้ามาอ่านได้ที่เว็บไซต์ทรูไอดีอินเทรนด์ ใน หมวดหมู่ "โควิด-19" 2. ไม่ดื้อไม่รั้น เหตุผลที่ใช้คำ "ไม่ดื้อไม่รั้น" แทนที่จะใช้เพียง "ไม่ดื้อรั้น" เพราะประสงค์จะเน้นพฤติการณ์ที่จำเป็นทั้งสองประการ คือ ต้องทั้ง ไม่ดื้อ และ ไม่รั้น เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย อาจก่อให้เกิดความไม่สะดวกในหลาย ๆ ด้าน เช่น การปิดสถานที่ต่าง ๆ การออกข้อกำหนดจำกัดการปฏิบัติตัวในระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น จำกัดการเดินทาง จำกัดการเข้า - ออกสถานที่ หรือการขอความร่วมมือในการปฏิบัติ ซึ่งบางอย่างจำเป็นต้องมีการเสียสละหรือกระทบต่อความเคยชิน เช่น ต้องสวมหน้ากากอนามัย ต้องเว้นระยะห่าง (Social Distancing) สิ่งเหล่านี้อาจนำมาซึ่งปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นการไม่เชื่อฟัง หรือโต้แย้ง (ดื้อ) หรืออาจลุกลามไปจนมีการฝ่าฝืน (รั้น) ซึ่งล้วนแต่เป็นปฏิกิริยาที่พึงหลีกเลี่ยง หรือไม่ให้เกิดขึ้นได้จะเป็นการดี เพราะอยากจะให้เปิดใจและทำความเข้าใจว่า ข้อกำหนด มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม และนั่นก็รวมถึงตัวเราเองที่ยังคงอยู่ในสังคมด้วย หากยังคงดื้อรั้นในสถานการณ์เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระที่สังคมต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น /การให้ความร่วมมือต่อมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ covid-19 เพื่อความปลอดภัยและสงบเรียบร้อย ในสถานการณ์ปัจจุบันนับเป็นสิ่งที่ดี : ขอบคุณภาพประกอบโดย Wphoto จาก Pixabay/ ในส่วนตัวผมเอง บางครั้งก็รู้สึกไม่ต่างกัน คือ มีบ้างที่อึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการสวมหน้ากากอนามัย หรือการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบถี่ ๆ จนแอบสงสารปรอทวัดไข้ ไปจนถึงเรื่องสำคัญ ๆ อย่างการปิดสถานที่และตีกรอบการใช้ชีวิตประจำวัน จนบางครั้งแอบคิดเล่น ๆ ว่า น่าจะง่ายกว่าหากสามารถใช้วิธีแช่แข็งตัวเองไว้ในแคปซูลแบบในภาพยนตร์ แล้วตั้งเวลาปลุกให้ตื่นอีกทีเมื่อสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ทว่าเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ในโลกความจริง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือ เป็นเด็กดี ยอมรับและปฏิบัติตาม "กรอบ" ที่เชื่อว่าจะเป็น "เกราะ" ป้องกันตนเองและเพื่อนร่วมชะตากรรมทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งผลที่ได้รับกลับมา อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความอุ่นใจว่า เรายังคงหยัดยืนอยู่ได้โดยไม่ซวนเซต่อแรงกระเพื่อมที่โหมกระหน่ำ ไม่ว่าจะจากภัยคุมคามจากโรคระบาดที่เกิดขึ้น หรือโทษทัณฑ์ (sanction) จากการฝ่าฝืนมาตรการตามกฎหมายความมั่นคงพิเศษที่มีผลบังคับใช้อยู่ / ขอบคุณภาพจาก Freepik / 3. ดำรงขวัญและกำลังใจ ผมเคยกล่าวไว้ในตอนต้นของบทความวิเคราะห์บทสวดมนต์ ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ทรูไอดีอินเทรนด์แห่งนี้ ในวันที่มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้ผ่านพ้นสถานการณ์โรคระบาดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่าสิ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น คือ สุขภาพจิตของผู้คน ที่ขวัญและกำลังใจถูกบั่นทอน อันเป็นสภาวะที่ต้องการได้รับการเยียวยา ควบคู่ไปกับการป้องกันและรักษาอาการป่วยทางกาย ในส่วนของตัวผมเองต้องยอมรับว่า แม้จะไม่ถึงขั้นจิตตก แต่ก็มีความหวั่นวิตกอยู่บ้างไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่อาศัยสติที่ยังมีอยู่กระซิบเตือนข้างหูว่า อย่าปล่อยให้อารมณ์เหล่านั้นมีอิทธิพลมากเกินไป จึงเป็นที่มาของการดำรงขวัญและกำลังใจ ซึ่งอาศัยปัจจัยหลายประการเข้ามาประกอบกัน ตั้งแต่การมีวินัยในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตน ไม่ละเมิดมาตรการป้องกัน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยดังที่กล่าวไว้ในข้อที่แล้ว รวมไปถึงการหาที่พึ่งทางใจควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ทำสมาธิให้มีสติประคองสภาวะจิตใจ ดังที่เคยกล่าวไว้ในบทความ " บทสวดมนต์ "รัตนสูตร" (รัตนปริตร) คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือกุศโลบายเสริมสร้างสุขภาพจิต ในยามวิกฤต โควิด-19" หรือแม้แต่การพกพา บูชาวัตถุมงคลตามความเชื่อ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากรุ่นพี่ที่ทำงานมอบให้ด้วยความปรารถนาอยากให้มีเกราะป้องกันจิตตกด้วย /ภาพปกบทความ บทสวดมนต์ "รัตนสูตร" (รัตนปริตร) คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือกุศโลบายเสริมสร้างสุขภาพจิต ในยามวิกฤต โควิด-19" ของผู้เขียน (31singha) เผยแพร่ทางเว็บไซต์ ทรูไอดี/ /ส่วนหนึ่งของวัตถุมงคลตามความเชื่อว่ามีพุทธานุภาพป้องกันรังสีและเชื้อโรคได้ ซึ่งผู้เขียนได้รับมอบจากเพื่อนร่วมงาน(โปรดใช้วิจารณญาณ) : ภาพโดย 31singha/ และจากการได้รับวัตถุมงคลที่รุ่นพี่มอบให้ด้วยความปรารถนาดีนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้แนวคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อขวัญและกำลังใจในยามนี้อีกประการหนึ่ง คือ ความห่วงใย เข้าใจ และใส่ใจกันของผู้ที่อยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนในชุมชนเดียวกัน แม้ในช่วงเวลาที่มีการรณรงค์ให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) แต่ก็เป็นเพียงการเว้นระยะทางกายภาพ โดยไม่จำต้องให้มีช่องว่างระหว่างสัมพันธ์ ดังคำกล่าวว่า "ห่างกันแต่ไม่ห่างไกล" / การดูแลใส่ใจด้วยความห่วงใยระหว่างคนในครอบครัว ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในสถานการณ์ปัจจุบัน : ขอบคุณภาพจาก Freepik / สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าภัยคุกคามจากโรคระบาดและการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอันเป็นผลพวงสืบเนื่องกันมาจะเป็นภาวะที่ไม่พึงประสงค์ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องประหวั่นพรั่นพรึงมากจนเกินไป เพราะเป็นสิ่งที่สามารถรับมือและแก้ไขได้ และผมเชื่อว่าสักวันจะผ่านไป เหมือนเมฆหมอกร้ายที่ไม่อาจปกคลุมท้องฟ้าได้ตลอดทุกฤดูกาล ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกันครับ ภาพปกบทความจาก Freepik และ PIRO4D จาก Pixabay