ภาพโดย lucky fortunes จากผู้เขียนบทความเอง โนราหรือหลายคนเรียกว่ามโนราห์บ้าง โนราห์บ้าง ในความเป็นจริงคำใดคือคำที่ถูกต้องเพราะใช้กันหลากหลายมากในที่นี้ผู้เขียนขอยกเอาคำว่าโนรามาใช้เป็นหลักก็แล้วกัน เนื่องจากคำใต้ดั้งเดิมจะตัดคำให้สั้นไม่นิยมใส่ตัวการันต์ อีกทั้งในเอกสารทางวิชาการเช่นวิทยานิพนธ์หรือบทความทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานวิชาการที่ถูกต้องจะใช้คำว่าโนรา ไม่ใช่มโนราห์หรือโนราห์ หากจะกล่าวว่าโนรามีความสำคัญอย่างไรกับคนปักษ์ใต้คงต้องบอกว่าในสมัยโบราณบ้านเมืองไม่เจริญเหมือนอย่างทุกวันนี้ ความบันเทิงที่คนเมื่อก่อนจะเสพได้ก็มีอยู่ไม่กี่ประเภท ที่คนรู้จักและได้ยินอยู่บ่อยได้แก่ หนังตะลุงและโนรานั้นเอง หนังตะลุงถ้ามีโอกาสจะนำมาเล่าในครั้งต่อไป โนราเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่มีการละเล่นกันทุกจังหวัดในภาคใต้ การแสดงจะเป็นการร่ายรำตามแม่บทประกอบเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ได้แก่ ปี่ กลอง ฉิ่ง ระนาดเอก ฆ้องวง เป็นต้น ส่วนเรื่องที่นิยมแสดงกัน มักเป็นนิยายพื้นบ้าน อาทิ ไกรทอง สังข์ทอง หรือที่นิยมกันที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราวที่เอาเค้าโครงมาจากพระสุธนมโนราห์ การแสดงจะต้องสร้างโรงเรือนขึ้นมาเรียกว่าโรงโนรา ดังนั้นในการแสดงแต่ละครั้งจึงใช้เวลาค่อนข้างหลายวัน บางงานอาจจะเล่นทั้งวันทั้งคืน หรือบางงานเล่นกัน 2-3 วันก็มี ตามแต่จะตกลงว่าจ้างระหว่างผู้จ้างกับนายโรงโนรา เมื่อมีการแสดงแต่ละครั้งจะมีชาวบ้านในชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่ข้างเคียงมาชมการแสดงกันค่อนข้างเยอะทีเดียว อีกทั้งโนรายังมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนปักษ์ใต้ในสมัยก่อนค่อนข้างมากเนื่องจากโนราไม่ใช่แค่การแสดงเพื่อความบันเทิงเพียงเท่านั้นแต่โนราถูกนำไปผูกโยงกับความเชื่อเรื่องคติธรรม ความดีความชั่วบุญและบาปของคนในชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย ดังนั้นหากจะกล่าวว่าความสำคัญของโนราอีกมิติหนึ่งคือเครื่องมือขัดเกลาทางสังคมในสมัยโบราณประเภทหนึ่งก็ว่าได้ เมื่อความบันเทิงถูกยึดโยงด้วยความเชื่อดังนั้นทุกวันนี้เราจะยังคงเห็นการแสดงโนราในหลายชุมชนทางปักษ์ใต้อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย บางบ้านจะถือเอาคำมั่นสัญญากับบรรพบุรุษด้วยการต้องมีการแสดงโนราเป็นประจำทุกปี ถึงขนาดสร้างโรงโนราไว้ถาวรเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่ไม่มีการแสดงก็จะไว้จอดรถบ้างก็เอาไว้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตร แต่เมื่อถึงเดือน 6 โรงโนราก็จะกลายสภาพมาใช้งานตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมัน เมื่อพูดถึงโนราแล้วคงต้องย้อนประวัติความเป็นมาของโนราสักหน่อย โนราเริ่มมีที่มาจากใครไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด และเริ่มเมื่อไรแน่ก็ไม่ปรากฎหลักฐานระบุชัดอีกเช่นกัน แต่ตามความเชื่อในทุกท้องถิ่นเชื่อว่าโนรามีต้นกำเนิดจากชนชั้นกษัตริย์จากนั้นจึงแพร่หลายลงมาในหมู่ชาวบ้านอีกทอด และสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ สังเกตได้จากเครื่องแต่งกายของโนราจะมีบางอย่างที่บ่งบอกว่านั้นคือเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ มีเทริด(อ่านว่าเซิด) เป็นชฎาใช้สวมเวลารำ มีสนับเพลาปั้นเหน่งเป็นต้น มีเรื่องเล่าปรัมปรากล่าวว่า เริ่มจากอาณาจักรศรีวิชัยเป็นอาณาจักรใหญ่ มีเมืองหลายเมืองประกอบกันขึ้นมาและแต่ละเมืองจะมีกษัตริย์ปกครอง หนึ่งในนั้นคือเมืองพัทลุงซึ่งมีกษัตริย์นามว่าพระยาสายฟ้าฟาด มีพระมเหสีนามว่ามเหสีศรีมาลา และมีราชธิดานามว่าเจ้าหญิงนวลทองสำลี วันหนึ่งเจ้าหญิงเกิดอยากเสวยน้ำค้างเที่ยงคืนขึ้นมา แต่เหล่านางกำนัลหามาได้แต่น้ำค้างเที่ยงวัน เมื่อเจ้าหญิงเสวยเข้าไปแล้วเกิดตั้งครรภ์ทั้งที่ไม่ได้ยุ่งกับชายใด เมื่อความทราบถึงพระยาสายฟ้าฟาดจึงได้เรียกมาสอบถามเมื่อทราบความแล้วโกรธมาก จากนั้นจึงเนรเทศเจ้าหญิงโดยการลอยแพไปในทะเลตามยถากรรม แพดังกล่าวลอยไปติดที่เกาะกะชัง(เชื่อว่าเป็นเกาะใหญ่ในจังหวัดสงขลา) พบกับพรานพื้นเมืองชื่อว่าพรานบุญ พรานบุญนี้เองได้ช่วยนางขึ้นมาจากนั้นนางจึงใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะกะชังเช่นชาวบ้านทั่วไป เมื่อถึงกำหนดคลอด นางได้คลอดลูกออกมาเป็นชายและได้ตั้งชื่อเด็กชายผู้นี้ว่าเทพสิงขร เทพสิงขรยิ่งเติบโตก็ยิ่งมีรูปกายที่งดงามสมเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แต่เล็กจนโตแม่คือนางนวลทองสำลีก็ได้สอนท่าร่ายรำที่สวยงามซึ่งนางได้นิมิตฝันไปว่าเทวดามาสอนให้รำ ทุกๆวันเทพสิงขรจะออกมาฝึกรำที่หน้าถ้ำโดยดูเงาของตนเองว่ารำสวยงามแล้วหรือไม่ ทำเช่นนี้ทุกวันจนชาวบ้านมาพบเห็นเข้าและร่ำลือถึงความงดงามของการร่ายรำ ลือไปจนถึงเจ้าเมืองคือพระยาสายฟ้าฟาด จึงโปรดให้เทพสิงขรมาร่ายรำให้ดู เมื่อได้ดูแล้วก็ชอบมากเรียกมาสอบถามความเป็นมา เมื่อทราบความทั้งหมดแล้วพระยาสายฟ้าฟาดเกิดความโทมนัสเสียใจในขณะเดียวกันก็โสมนัสยินดีที่ได้พบลูกและหลาน จึงโปรดให้มอบเครื่องทรงเยี่ยงกษัตริย์ให้เทพสิงขรใช้ใส่ร่ายรำและมอบยศศักดิ์ให้เป็นขุนหลวงศรีศรัทธาและให้รับนางนวลทองสำลีกลับเข้าเมือง ต่อมาจึงยกเมืองให้ขุนหลวงศรีศรัทธาปกครองต่อไป เมื่อการร่ายรำนี้ถูกสืบทอดมาสู่ชาวบ้านเครื่องทรงกษัตริย์จากแต่เดิมที่เป็นที่เป็นเครื่องทองและเพชรนิลจินดา ได้ถูกดัดแปลงสร้างขึ้นมาตามความสามารถของชาวบ้านที่จะหามาได้ นั้นคือใช้ลูกปัดและเขาควายรอยลูกปัดเข้าด้วยกันเป็นเครื่องแต่งกายโนราที่ใช้ในการร่ายรำแสดงสืบต่อมา คราวนี้เรามาดูข้อสันนิษฐานในเชิงวิชาการถึงความเป็นมาของโนราบ้างว่ามีที่มาอย่างไร ความเป็นมาของโนราจะมีหลากหลายทรรศนะ ยกตัวอย่างเช่นทรรศนะหนึ่งคือของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเชื่อว่าโนราเป็นละครชาตรีนอก ได้รับอิทธิพลมาจากการแสดงในราชสำนักอโยธยา และแสดงกันอยู่เดิมที่นครศรีธรรมราชต่อมาจึงถูกส่งต่อสืบทอดมาทุกจังหวัดของภาคใต้ อีกทรรศนะหนึ่งเชื่อว่าโนราเองได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากอินเดีย ดูได้จากท่าร่ายรำของโนราจะไปคล้ายกับท่าร่ายรำของอินเดียโบราณที่เรียกว่า ท่ากรณะ ซึ่งปรากฎอยู่ในคัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์และคล้ายกับท่าร่ายรำที่จารจารึกไว้ที่แผ่นศิลาในมหาเจดีย์บุโรพุธโธ เกาะชวากลาง อีกทั้งยังไปคล้ายคลึงกับท่าร่ายรำแคว้นเบกอลโบราณ จึงสันนิษฐานว่าการรำโนราได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากอินเดียเข้ามาทางแหลมมลายู ซึ่งไปสอดคล้องกับอีกทรรศนะหนึ่งที่เชื่อว่าโนราเป็นต้นแบบของโขน อีกทั้งมีเรื่องเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างโขนธรรมศาสตร์ขึ้นมาและนำโขนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยเล่าว่าตอนพานักศึกษาที่เป็นทีมแสดงโขนธรรมศาสตร์มาแสดงที่สงขลาในปี 2515 นั้นคุณชายจำได้ว่าครูที่สอนโขนท่านเคยบอกไว้ว่าหากมีโอกาสให้ไปพบกับครูโนราซึ่งครูโนราถือเป็นครูใหญ่ เป็นครูที่แรง โขนที่ครอบครูแล้วเมื่อพบครูโนราให้เคารพนบไหว้นี้คือคำที่ครูโขนสอนและบอกต่อกันมา จึงได้ถือโอกาสนี้พบกับครูโนราในตำนานคือ โนราพุ่ม เทวา (ขุนอุปถัมภ์นรากร)ซึ่งภายหลังหม่อมท่านได้เรียกขานโนราพุ่มว่าพ่ออีกด้วย ต่อมาหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้เชิญโนราพุ่ม เทวา ไปรำโนราต่อเบื้ัองหน้าพระพักตร์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชวังสวนจิตรลดา นับเป็นเวลาประวัติศาสตร์ที่โนรา ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ได้แสดงต่อหน้าพระพักตร์ของพระมหากษัติย์อีกพระองค์ ต่อจากสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 6 (เมื่อครั้งยังคงเป็นองค์มงกุฏราชกุมารในเวลานั้น) ที่เคยทอดพระเนตรการแสดงโนราปักษ์ใต้มาแล้วในอดีต นี้คือเรื่องราวเกี่ยวกับโนราซึ่งนับเป็นความบันเทิงโบราณของท้องถิ่นใต้พอสังเขป