อื่นๆ

นั่งเล่านั่งหลอน...ก่อนลุงจะต้องตาย ๑ “ปิดป่า”

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
นั่งเล่านั่งหลอน...ก่อนลุงจะต้องตาย ๑ “ปิดป่า”

นั่งเล่านั่งหลอน...ก่อนลุงจะต้องตาย ๑ “ปิดป่า”

บอกกล่าว :: เรื่องเล่าดังต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของคุณลุงผม ท่านเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นอุทาหรณ์และส่งต่อเรื่องหลอนไว้สอนใจ ทุกๆ เรื่องที่ผมฟังมานั้น มีทั้งความเกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นจึงแบ่งเรื่องเล่าเป็นตอนๆ เพื่อไม่ให้เรื่องราวยาวมากเกินไป สามารถอ่านแยกกันได้อย่างอิสระ ทว่าเพื่ออรรถรสความหลอน สามารถอ่านต่อกันได้ครับ


ป่า

ลุงหวิน คือญาติห่างๆ ของครอบครัวผม สมัยเด็กๆ ครอบครัวเราสองสนิทกันมาก ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดๆ กระทั่งวันหนึ่ง วาระและความเหมาะสมทำให้เราต่างต้องแยกห่างกันไปทำงานและใช้ชีวิตต่างถิ่น เราติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มากกว่าการพบเจอกัน แต่ครั้งนี้ผมกับพ่อจำเป็นต้องมาเพื่อพบเจอลุงหวินด้วยกัน นั่นเพราะว่า ป้านาง ภรรยาของลุงเสียชีวิตด้วยโรคร้าย

Advertisement

Advertisement

ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในงานศพ ลุงหวินเศร้าสร้อยจนเหมือนคนเสียสติ ให้ญาติๆ จัดงานกันไป ส่วนตัวเองดื่มเหล้าขาวย้อมในจนเมามาย กระทั่งช่วงเวลากลางคืน ที่ผมตัดสินใจจะนอนเฝ้าศพของป้านาง ลุงหวินก็เดินเข้ามาภายในศาลา นั่งคุยกับโลงศพภรรยาด้วยประโยคซ้ำๆ ว่า “พี่ผิดเอง น้องไม่น่าตาย” อะไรทำนองนั้นอยู่นาน พร้อมทั้งเริ่มร้องห่มร้องไห้ จนผมต้องลุกไปปลอบใจ

ท่าทีเมามายของลุงหวินหายไปแล้ว เหลือเพียงความเศร้าสร้อยที่ปรากฏชัดเจน ลุงหันมาหาผมแล้วบอกว่า “ที่จริงลุงเองเป็นคนที่ควรต้องตาย”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ลุงหวินเปลี่ยนท่าทางเป็นนั่งขัดสมาธิ พิงเสากลางศาลาแล้วถอนหายใจ พูดว่า

“ไม่คิดว่าเรื่องนานแสนนานยังจะตามกันได้ถึงเพียงนี้ คิดว่าจะรอดแล้วเชียว”

แม้ในใจจะแอบคิดว่าลุงหวินเมาอยู่ก็ตาม แต่ท่าทางนั้นกลับตรงข้าม ผมเองได้แต่นั่งนิ่งทั้งที่ตั้งใจจะมาปลอบขวัญ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ความเงียบโอบกอดเราสองคนอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งลุงหวินเป็นคนทำลายมันทิ้ง “จำไว้นะหลาน อย่าล้อเล่นหรือฝ่าฝืนอะไรก็ตามกับสิ่งที่มองไม่เห็นเด็ดขาด ลุงจะเล่าให้ฟังเอาไหม เผื่อเดี๋ยวลุงตาย เอ็งจะได้เอาไปเตือนสติใครต่อใคร”

Advertisement

Advertisement

ผมรู้สึกใจหายตอนที่พยักหน้า...น้ำเสียงที่เอ่ยถึงความตายของลุงหวินชวนขนลุกเป็นที่สุด ไม่ใช่เพราะมีร่างไร้วิญญาณของป้าอยู่ใกล้ๆ แต่ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านออกมานั่นต่างหาก...ผมไม่รู้เลยว่ามันคล้ายกับการฝากฝังสั่งลา

ลุงเล่าด้วยน้ำเสียงที่ชวนเสียวสันหลัง...ว่าเรื่องมันเกิดเมื่อสามสิบปีก่อนโดยประมาณ


พราน

ลุงหวินในตอนนั้นเพิ่งเป็นหนุ่มเป็นแน่น เพราะบวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขาได้ร่ำเรียนวิชาศาสตร์ขาวต่างๆ รวมถึงคุณไสยมาไม่น้อย แม้เพียงอายุยี่สิบ แต่เรื่องคาถาอาคมก็เรียกได้ว่าไม่แพ้ใคร หากแต่เขาเรียนในสายแก้ ไม่ใช่สายทำของใส่คนอื่น

หลังจากที่สึกมา ก็ทำหน้าที่พรานนำเที่ยว นั่นเพราะว่ามันสร้างรายได้ให้ดีกว่างานชนิดอื่นๆ ณ ช่วงเวลานั้นนั้นเอง ลุงหวินมีเพื่อนๆ อีกสามคนที่สนิทสนมกัน รวมทั้งวิชาอาคมก็ไม่แพ้กันอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นพรานป่าที่ใครๆ ต่างยกนิ้วให้ในเรื่องการนำทางและการมอบความปลอดภัยให้กับลูกค้า

Advertisement

Advertisement

ครั้งนั้น มีเศรษฐีจากต่างบ้านมาขอให้ลุงหวินและเพื่อนๆ ช่วยนำเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ นับว่าเป็นเกมสนุกๆ ของคนรวยสมัยนั้น ด้วยค่าจ้างที่แสนคุ้มค่าขนาดที่ว่าไม่ต้องทำงานไปเลยเป็นเดือน ลุงหวินและเพื่อนๆ จึงตกปากรับคำทันที โดยพรานหนึ่งคน จะมีหน้าที่ดูแลแขกพิเศษสองคน ระยะเวลาสามวันสองคืน เมื่อกลับมาเจอกันที่หมู่บ้าน ใครที่สามารถล่าสัตว์ได้มากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ และพรานคนไหนที่พาเศรษฐีเหล่านั้นไปที่ๆ มีสัตว์ให้ล่ามากที่สุด ก็จะได้ค่าจ้างพิเศษเพิ่มอีกด้วย

สี่พรานวัยหนุ่มทำพิธีเปิดป่าและขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาตั้งแต่เช้ามืด ก่อนจะแยกกันออกไปคนละทาง

ลุงหวินได้ดูแลคนที่มีท่าทางคล้ายเป็นหัวโจกของกลุ่มทั้งแปดคน ดูท่าทางแล้วมีหน้ามีตาและกระเป๋าเงินหนักสุด เพราะไม่ว่าจะพูดจาอะไร เขาก็มักจะมองว่าทุกสิ่งสามารถจ่ายด้วยเงินเสมอ แถมยังดื้อรั้นต่อกฎที่ลุงหวินบอกเอาไว้อีกด้วย แต่ก็เพื่อเงิน ลุงหวินจึงต้องยอม

และหายนะมันก็เริ่มต้นในคืนแรก คืนที่เป็นคืนเดือนมืด ทั้งป่ามืดสนิท ลุงหวินกล่าวเตือนว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการล่าสัตว์ แต่คนรวยคนหิวกระหายในชัยชนะจนไม่ฟังอะไรสักอย่าง แถมยังเหยียดลุงหวินไว้ด้วย “ถ้าอยากได้เงิน ก็ใช้แรงให้มากกว่าปาก”

พร้อมทั้งกระสุนปืนหนึ่งนัดที่ดังสะเทือนป่า เหล่านกกาที่นอนหลับต่างแตกตื่นจนเกิดความโกลาหลไปทั่วบริเวณ ลุงหวินตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่ไม่สู้ดีนัก เพราะเขารู้ว่าคืนนี้เจ้าป่าเจ้าเขายังไม่ให้ออกล่าสัตว์ เซ้นส์ของเขาบอกไว้อย่างนั้น แต่เพียงครู่เดียว ทุกอย่างก็กลายเป็นหายนะ เมื่อชายผู้นั้นหิ้วลูกลิงที่ร่างกายโชกเลือดกลับมาที่แคร่บนต้นไม้ เขายิ้มย่องด้วยความรู้สึกเอาชนะ มีเพียงลุงหวินที่น้ำตาร่วง...ถ้าไม่ออกจากป่าคืนนี้ไม่รอดแน่ๆ

ป่า

ลุงหวินปฏิเสธเงินก้อนโตทันที จุดพลุส่งสัญญาณเพื่อเรียกทุกๆ คนมารวมกันที่จุดเดียว ก่อนจะบอกให้ทุกคนออกจากป่าในคืนนี้...ถ้าไม่ออก คืนนี้ยังไม่ก็ไม่รอด

ทุกๆ คนมารวมตัวกันด้วยความงุนงง มีแต่เพื่อนพรานด้วยกันที่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น...ซากลูกลิงตัวนั้นคือคำตอบ พรานทั้งสี่รีบทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาทันที หากแต่สายลมรอบกายกลับกระโชกพัดแรงจนยอดไม้สั่นไหว สายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา แสงของมันทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงคล้ำช้ำเลือดช้ำหนอง พร้อมทั้งรอบๆ ลานกว้างบริเวณนี้ ทั้งหมดได้ยินเสียงฝีเท่านับสิบนับร้อยเดินวนรอบๆ พร้อมแสงสะท้อนแววตาสัตว์ที่มีผลต่อไฟฉายอีกด้วย ยอดไม้ไหวสั่น สัตว์ร้ายปริศนาโลดโผนจากกิ่งโน้นมากิ่งนี้

“แม่งเอ๊ย พวกสัตว์เดรัจฉาน” นั่นคือประโยคเดียวที่ลุงหวินจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ชายหัวโจกจะยิงปืนเข้าป่าหนึ่งนัด เงาดำทะมึนเงาหนึ่งกระโจนเข้ามาหาเขา มันคือลิงตัวหนึ่งที่ใหญ่เกือบเท่าเด็กโต ร่างของมันกระแทกชายคนนั้นแล้วกัดเข้าที่ลำคออีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มทั้งยืน มันเงยหน้าขึ้นมามองทุกๆ คนโดยรอบด้วยแววตาแดงก่ำวาวโรจน์ ไม่มีใครกล้ากระชับปืนขึ้นแนบเพื่อยิงมันเลย แววตานั้นราวกับว่าไม่ใช่ลิงปกติทั่วไป ถอยกรูดไปรวมกันกระจุกหนึ่ง

มันคว้าเอาร่างไร้วิญญาณของลูกตัวเองขึ้นไปกอดแนบอกแล้วคำรามลั่น พร้อมกันนั้นทั่วบริเวณก็เกิดเสียงร้องระงมของสัตว์นานาชนิดที่ฟังดูโหยหวนชวนขนลุก

ชายคนที่โดนกัดนอนดิ้นพล่าน มือยกปิดลำคอที่เลือดไหลราวกับท่อน้ำแตกอาบทั่วร่างในเวลาสั้นๆ ลิงตัวนั้นกอดร่างลูกแนบอกแล้วกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้มืดมิด แล้วเสียงทุกอย่างก็สงบไป

ลุงหวินเล่าว่าในช่วงเวลานั้นลุงหวินใจแทบขาด เจ้าป่าเจ้าเขาพิโรธอย่างถึงที่สุด โกรธตัวเองที่เห็นแก่เงินโดยที่เคยรู้ว่าคนต่างถิ่นจะเหยียดหยามและฝ่าฝืนกฎได้ขนาดนี้ ทั้งหมดรีบปิดปากแผลที่ลำคอ เขาตาเหลือกและปากเริ่มซีด ทุกๆ คนถอดเสื้อมาสอดกับไม้ทำเปลสนามแล้วพาร่างนั้นออกไปยังหมู่บ้านทันที

ลุงหวินอธิบายว่า คืนเดือนมืด ป่าปิด ชาวบ้านถือว่าเป็นลางร้าย ผีป่าจะออกหากิน ทั้งในรูปลักษณ์ของคน หรือสัตว์ป่า เราสามารถออกส่องสัตว์ได้แต่ไม่ควรตัดชีวิตใคร มันจะทำให้เกิดหายนะ และถ้าเจ้าป่าเจ้าเขาเกรี้ยวโกรธ แทบจะไม่มีใครได้รับการให้อภัย ความตายของลูกลิงตัวนั้นคือจุดเริ่มต้นทั้งหมด ลุงหวินโทษตัวเองในครั้งนั้นที่ห้ามทุกสิ่งไว้ไม่ทัน

แต่ในเวลาต่อมา ทุกๆ อย่างก็ได้รับการชดใช้แล้ว

เพราะทันทีที่สิบสองคนเดินออกจากเขตชายป่าเข้ามาในหมู่บ้าน แม้หนึ่งในพรานจะวิ่งออกมาก่อนเพื่อตามหมอแล้วก็ตาม แต่ยังคงช้าไป ชายคนนั้นโคร้ายที่ถูกกัดเข้าที่เส้นเลือดอย่างพอดิบพอดี เขาเสียเลือดมากและเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการช็อคกระทั่งขาดใจตาย

ลุงหวินเข้าใจว่านั่นคือการชดใช้ ชีวิตต้องแลกชีวิต มันน่าจะจบแล้ว

แต่ในตอนสุดท้ายที่ลุงหวินหันไปมองในป่า เขาก็ต้องรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต เพราะแม่ลิงตัวนั้นจับแขนลูกที่เปรอะเลือดห้อยต่องแต่งแกว่งไปมา พร้อมทั้งชี้มาที่พวกเขาทุกคน ก่อนจะค่อยๆ หันหลังเดินเข้าไปราวกับเป็นมนุษย์คนหนึ่ง...ไม่ใช่ลิง

ลุงหวินน้ำตาร่วง เพราะรู้ว่าความอาฆาตนี้ไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน

ลุงหวินเลิกเป็นพรานอย่างเด็ดขาดหลังจากเกิดเรื่องนั้น เขาตัดสินใจบวชอีกครั้งเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับลูกลิงและความอาฆาตทั้งหลายทั้งปวงในป่านั้น

สองเดือนต่อมาเกิดข่าวร้ายขึ้น พรานอุเทน เพื่อนพรานที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายนั้นมาด้วยกันประสบอุบัติเหตุ ขับรถนำเที่ยวตกเขาเสียชีวิตคาที่ แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งคน เขาคือหนึ่งใน 8 คนที่อยู่ในค่ำคืนอาฆาตนั้นเช่นกัน

ความกลัวรุกล้ำจิตใจของพระหวินในตอนนั้น พลันเสียงกรีดร้องของบางอย่างที่คล้ายๆ ลิงก็ดังขึ้นมา...

นั่นคือเหตุการณ์แรกของแรงอาฆาต

ลุงหวินวางมือบนบ่าผมเบาๆ “ทีนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ว่าทำไมลุงถึงพูดว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่ก่อนที่ลุงจะตาย ลุงจะขอฝากทุกเหตุการณ์ให้เอ็งฟัง แล้วจำไว้...ว่าไม่มีรางวัลสำหรับคนทำผิด ไม่ว่าในแง่ใดก็ตาม”

ผมขนลุกซู่ ก่อนที่ลุงหวันจะเล่าเรื่องต่อไปให้ผมฟัง


คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์