คนจำนวนมากฝากชีวิตการเงินของตัวเองไว้กับตลาดหุ้น ทั้งๆที่พวกเขาแทบไม่รู้จักมันเลย ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงน่าจะเป็นสถานที่หนึ่งในไม่กี่แห่งของโลกนี้ ที่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับมันมากมาย แต่มีคนที่รู้จักและเข้าใจมันจริงๆเพียงแค่หยิบมือนี่คือคำกล่าวของแอนดี้ แทนเนอร์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเปิดโลกทัศน์ในอีกมุมมองหนึ่งของการลงทุนในตลาดหุ้น หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุดที่ปรึกษาพ่อรวยที่ว่าด้วยการลงทุนในตราสารการเงิน โดยจะเน้นถึง 4 เสาหลักแห่งการลงทุน นั่นคือ1.การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน2.การวิเคราะห์แนวเทคนิค3.กระแสเงินสด4.การบริหารความเสี่ยงเนื้อหาภายในหนังสือจะเน้นภายใน 4 ประเด็นนี้ที่ต้องใช้ในการตัดสินใจในการลงทุนเสมอ รวมทั้งคำนิยามต่างๆ เช่น การประเมินมูลค่าคำว่า ราคาและมูลค่าแตกต่างกัน ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ ราคาจะเปลี่ยนตามอุปสงค์อุปทาน สามารถศึกษาจากข้อมูลทางเทคนิค มูลค่าคือสิ่งที่เปลี่ยนไปตามกำไรและการเติบโต ศึกษาได้จากข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization)หมายถึง ความสามารถในการซื้อหุ้นทั้งบริษัท เช่น มีหุ้น 100 หุ้นๆละ 3 เหรียญ เราก็สามารถคำนวณได้จาก ราคาหุ้น × จำนวนหุ้น = 100 × 3 = 300 เหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สามารถซื้อหุ้นบริษัทนั้นได้ทั้งบริษัทการวิเคราะห์แนวพื้นฐานและการวิเคราะห์แนวเทคนิค สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์แนวพื้นฐาน คือ การอ่านตัวเลขในงบการเงิน เพื่อตรวจสุขภาพทางการเงินว่ามีทรัพย์สิน หนี้สินมากน้อยแค่ไหน การวิเคราะห์แนวเทคนิค คือ การอ่านเรื่องราวของหุ้นผ่านกราฟ พูดง่ายๆก็คือ พื้นฐานบอกความเข้มแข็งของธุรกิจ เทคนิคบอกความแข็งแกร่งของตลาด ก่อนการลงทุนเราจะมีการจัดทัพรวบรวมข้อมูลก่อนการลงทุน มันเป็นการทำการบ้านเบื้องต้นก่อน รวบรวมข้อมูล คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์แนวเทคนิค จัดทัพลงทุน คือ การดูไปที่กระแสเงินสดและการบริหารความเสี่ยงสถานะลองเมื่อเปิดสถานะลอง คือเมื่อคุณซื้อเพื่อเป็นเจ้าของบางสิ่งบางอย่างออกจากสถานะลอง คือเมื่อคุณขายอะไรบางอย่างออกไปสถานะชอร์ตเมื่อเปิดสถานะชอร์ต หมายถึงเมื่อคุณยืมอะไรบางอย่างจากคนอื่นมาขายออกจากสถานะชอร์ต หมายถึงเมื่อคุณซื้อกลับคืนมาในราคาที่ถูกกว่าเดิม แล้วค่อยไปคืนเจ้าของเดิมยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ง่ายขึ้นในสินทรัพย์ประเภทอสังหาฯโดยวิธีการ ชอร์ตดอลล่าร์ด้วยอสังหาริมทรัพย์ การเปิดสถานะชอร์ตก็เปรียบเสมือนกับยืมเงินดอลล่าร์จากธนาคาร แล้วขายดอลล่าร์นำไปแลกเป็นบ้านแทน การออกสถานะชอร์ต เป็นการดึงเงินกลับจากผู้เช่า แล้วคืนเงินดอลล่าร์นั้นให้ธนาคาร และการซื้ออสังหาฯด้วยเงินสดคือการลองอสังหาฯ เงินที่แข็งค่ามีอำนาจซื้อสูงกว่าเงินที่ด้อยค่า แต่เงินผ่อนชำระค่าจดจำนองบ้านรายเดือนนั้นคงที่ การที่ดอลล่าร์แข็งค่าย่อมทำให้นักลงทุนอสังหาฯที่ใช้หนี้ลงทุน เกิดกระแสเงินสดติดลบทันที นี่เป็นตัวอย่างของการไม่ใช้เงินของตัวเองลงทุน มันสามารถสร้างกำไรได้ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน และเกิดความเสี่ยงได้เช่นกันถ้ามันเกิดผิดแผน ไม่เป็นไปตามคาดขึ้นมาการเปิดสถานะชอร์ตยกตัวอย่างที่ตรงตัวอีกสักเล็กน้อย คราวนี้คือการชอร์ตหุ้น มันคือการยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ แล้วขายหุ้นดังกล่าวที่ 50 เหรียญ ทีนี้ พอเรามีกำไรแล้ว เราก็ต้องออกจากสถานะชอร์ตโดยการคืนหุ้นให้โบรกเกอร์ที่เราไปยืมเขามา โดยซื้อหุ้นคืนโบรกเกอร์ที่ราคา 40 เหรียญ เพียงเท่านี้ก็กำไร 10 เหรียญแล้วการลงทุนหุ้นแบบนี้เป็นการลงทุนโดยใช้สัญญา สัญญาเป็นเสมือนพลังทวี สัญญาที่นักลงทุนเลือกว่าจะซื้อ จะขายหุ้น ณ ราคาที่ตั้งไว้ หากไม่สนใจจะซื้อหรือขายก็ไม่ต้องการทำการซื้อขายก็ยังได้ แต่ก็ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมที่เรียกว่าค่าพรีเมี่ยม แต่ก็ยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับผลขาดทุนที่ไม่เป็นไปตามสัญญาอัตราผลตอบแทน (Rate of Return)เวลาเราจะลงทุนอะไรสักอย่าง เราก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนเสมอ เราจะรู้ว่าได้อย่างไรว่าผลตอบแทนที่เราควรจะได้มันเกิดขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หนังสือเล่มนี้ก็ได้ให้สมการง่ายๆในการคำนวณก็คือเงินออก - เงินเข้า หารด้วย เงินเข้าเช่น ซื้อหุ้นราคา 100 เหรียญ เท่ากับเงินเข้า 100 เหรียญ เมื่อขายหุ้นทั้งหมดได้เงินสดกลับมา 110 เหรียญ นั่นคือเงินออก 110 เหรียญ นำเงินเข้าไปคำนวณสมการ 110 – 100 / 100 = 0.1 หรือ 10%Call Option คือสัญญาจองซื้อหุ้น ประกอบด้วย 3 ส่วน1.ราคาที่ตราไว้ (Strike Price) คือราคาที่สามารถใช้ซื้อหรือขายหุ้น2.วันหมดอายุ (Expiration Date) วันที่สัญญาฉบับดังกล่าวจะไม่มีผลในการใช้งานอีก3.ค่าพรีเมียม (Option Premium) คือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าสัญญาใน Option หรือเรียกว่าค่าธรรมเนียม ยกตัวอย่าง แทนที่จะซื้อหุ้น 100 หุ้น ในราคาหุ้นละ 50 เหรียญ ตามปกติก็จะต้องใช้เงิน 5,000 เหรียญ หากเกิดความเสี่ยง ทิศทางราคาหุ้นในอนาคตไม่เป็นไปตามคาด เราก็จะเสี่ยงไปกับเงิน 5000 เหรียญทั้งหมด ทว่าถ้าหากเราใช้ Call option ความเสี่ยงของเราก็จะจำกัดเหลือเพียงแค่ค่าธรรมเนียมเท่านั้น ในที่นี้จะสมมติว่าค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3 เหรียญต่อหุ้น จำนวน 100 หุ้น รวม 300 เหรียญ เพื่อซื้อ Call option ที่ใช้ควบคุมหุ้นมูลค่า 5000 เหรียญ อายุ 2 เดือนหากราคาหุ้นตกก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ หากราคาหุ้นขึ้น จากราคาหุ้นละ 50 เหรียญ เป็น 100 เหรียญ ก็ขายสัญญาได้เป็นเงิน 500,000 เหรียญ ด้วยต้นทุนเพียงแค่ 300 เหรียญ กำไรที่ได้ 5,000 – 300 = 4,700 เหรียญPut Option ก็คือสัญญาขายหุ้น ยามที่ราคาหุ้นลงลง ตัว Put option ทำให้เราสามารถขายหุ้น ณ ราคาที่ตราไว้ได้ (Strike Price) ต่อให้ราคาหุ้นตกลงมาจนเหลือ 0 เหรียญก็ยังขายหุ้นที่ราคาในสัญญาได้การบริหารความเสี่ยงแอนดี้ แทนเนอร์ อธิบายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ 3 ประเภท1.ความเสี่ยงเชิงเดี่ยว (Non-Systemic Risk) คือสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นรายตัว โดยไม่เกี่ยวกับตลาดโดยรวม2.ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) คือหุ้นทั้งตลาดตกต่ำทั้งหมด กระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นหลายเซคเตอร์ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันปัญหา ส่วนหนึ่งของปัญหาคือหนี้ของภาครัฐ เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงเชิงระบบ3.ความเสี่ยงจากอำนาจซื้อ (Purchase Risk) คือ แนวคิดที่ผูกติดกับสกุลเงินประเทศใดประเทศหนึ่ง หากมูลค่าสกุลเงินต่ำลง อำนาจซื้อในช่วงเวลานั้นก็หายไป ในกรณีการลงทุนหุ้นด้วย Call option และ Put option แอนดี้ แทนเนอร์แนะนำให้เลือกสัญญาที่มีอายุ 2 เดือนขึ้นไป เพราะสัญญาอายุที่น้อยเกินไปแค่ 1 เดือน มันจะมีเวลาให้มูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้นน้อยเท่านั้น ถึงแม้ว่าค่าพรีเมียมจะถูกกว่าก็ตาม (ค่าพรีเมียมจะแพงขึ้นตามระยะเวลาในสัญญา) Hedge คือส่วนหนึ่งของการป้องกันปัญหา Hedge คือการซื้อประกันให้กับการลงทุนนั่นเอง ทิ้งท้ายสักเล็กน้อยก่อนจากลากันไป แอนดี้ แทนเนอร์ได้ฝากข้อคิดการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆก็ตามแต่ ถ้าต้องการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้1.กลยุทธ์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถดึงเงินสดออกจากตลาดมาหาเราได้ ตามกรอบเวลาของนักลงทุนแต่ละคน2.ทำกำไรได้สม่ำเสมอ3.อัตราผลตอบแทนดีเยี่ยม คุ้มกับความเสี่ยง4.มีการบริหารจัดการ เพื่อปกป้องเงินทุนจากความเสี่ยง5.กลยุทธ์เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ปรับใช้ตามแบบฉบับของตัวเองได้ สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนหุ้นเพื่อสร้างกระแสเงินสด หนังสือเล่มนี้อาจเป็นคำตอบให้กับใครหลายคนได้ครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ เครดิตภาพภาพปกโดย ผู้เขียนภาพที่ 1 และภาพที่ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย nattanan23 จาก pixabay.com ภาพที่ 4 โดย pch.vector จาก freepik.com บทความหนังสือการเงินอื่นๆที่น่าสนใจ(รีวิว) หนังสือ MONEY 101 เริ่มต้นนับหนึ่งสู่ชีวิตการเงินอุดมสุขรีวิวหนังสือ THE RICHEST MAN IN BABYLON เศรษฐีชี้ทางรวยรีวิวหนังสือ”เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน