คำว่า “ศึกแดงเดือด” แฟนบอลยุคเก่าอาจคุ้นเคยดี แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ยุค Gen-Z หรืออายุประมาณ 10-20 ปี อาจเข้าใจว่าแดงเดือดหมายถึงแค่การเจอกันของ แมนยู กับ ลิเวอร์พูล สัญลักษณ์ทั้งคู่คือสีแดง และเป็นทีมที่มีแฟนบอลเยอะในบ้านเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูก แต่แท้จริงแล้วคำว่า แดงเดือด มีเรื่องราวที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลายคนเคยศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาอาจยังไม่เข้าใจว่าทำไม 2 ทีมนี้ถึงกลายเป็นคู่อริกันได้ ทีมในอังกฤษมีตั้งมากมายทำไมคู่นี้ถึงยกให้เป็นไฮไลท์ประจำฤดูกาล เราจะพาไปหาคำตอบในฉบับที่อ่านจบแล้วจะเข้าใจคำว่า “แดงเดือด” ได้ดีขึ้น 1. คำนี้ใครเป็นคนตั้งขึ้นมา? คำถามแรกเลยที่แฟนบอลยุคใหม่สงสัยกันแน่นอนว่าใครคือคนตั้ง? คำว่าแดงเดือดปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยนักข่าวกีฬาในยุคนั้นนามปากกา ศิริ อัครลาภ หลายคง งง กันแน่นอนว่าเค้าคือใคร ถ้าบอกว่าปัจจุบันคือ กิตติกร อุดมผล แฟนบอลร้องอ๋อกันแน่นอน เพราะคุ้นหูจากการเป็นผู้บรรยายทรูวิชั่น คุณกิตติกร “พี่กบ” หรืออากบของน้อง ๆ สื่อกีฬา ในสมัยนั้นยังอยู่สตาร์ซอคเก้อร์ ได้บัญญัติคำว่าแดงเดือดไว้สักประมาณปี พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2535 หรือประมาณ 30 ปีที่แล้วช่วงอังกฤษเปลี่ยนผ่านจากชื่อดิวิชั่น 1 เข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีก และคำนี้เริ่มแพร่หลายฮิตติดปากอย่างรวดเร็วจนเป็นคำนิยามการพบกันของแมนยู - ลิเวอร์พูล 2. ทำไมแฟนสองทีมนี้ไม่ชอบกัน มาจากประวัติศาสตร์ของ 2 เมืองนี้ ขอให้ดูรูปข้างบนประกอบจะเห็นว่าสนามแอนฟิลด์ กับโอลด์แทรฟฟอร์ด นี่อยู่ห่างกันแค่ 50 กิโลเศษ ๆ เหมือนขับรถจากกรุงเทพชั้นในไปรังสิต แล้วเค้ามีปัญหาอะไรกัน? ลิเวอร์พูลคือเมืองติดทะเล เป็นเมืองท่าสำคัญของอังกฤษ ซึ่งในสมัยก่อนมีอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขนส่ง-ท่าเรือ-อู่ต่อเรือ ที่ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก เพราะมันใกล้ขนาดนี้ชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์จึงนิยมเดินทางมาสู่เมืองลิเวอร์พูลเพื่อแสวงหาโอกาส และถูกมองจากคนท้องถิ่นว่า “มาแย่งงานเค้าทำ” จนไปถึงการดูถูกพวก แมนคูเนียน (Mancunians - คำที่ใช้เรียกชื่อชาวเมืองแมนเชสเตอร์) ว่าเป็นพวกใช้แรงงานบ้างล่ะ เป็นพวกมาสร้างปัญหา คงนึกภาพออกกันใช่มั้ยครับว่าเมื่อมีคนแมนเชสเตอร์อพยพเข้ามามาก ๆ มันก็เกิดเป็นชุมชน มีการกระทบกระทั่ง แต่แท้จริงแล้วคนเมืองแมนเชสเตอร์ก็ไม่ได้นักเลงหัวไม้เลวร้ายขนาดนั้น เป็นพลเมืองของอังกฤษแบบเดียวกับลิเวอร์พูลนั่นแหละ แต่ประเด็นหลักมาจากความรู้สึกว่าเข้ามาแย่งงานจากคนท้องถิ่น ในช่วงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ (ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1850) ซึ่งอุตสาหกรรมท่าเรือของลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงบูมมาก 3. ทางออกสู่ทะเล ตอกย้ำความแตกหัก! ย้อนกลับมายังแผนที่ของทั้ง 2 เมืองกันอีกที จะเห็นว่าเมืองแมนเชสเตอร์ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่มีคลองเส้นหนึ่ง (ซูมแผนที่ดูเลยนะครับ คลิก) พุ่งเข้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์ นั่นคือคลอง แมนเชสเตอร์ ชิป เคอร์เนล (Manchester Ship Canal) ระยะทาง 58 กิโลเมตร ที่เมืองแมนเชสเตอร์สร้างทางออกสู่ทะเลด้วยตัวเอง เสร็จในปี ค.ศ. 1893 ไม่ต้องง้อท่าเรือของเมืองลิเวอร์พูล ทำให้อุตสากรรมมาเติบโตที่แมนเชสเตอร์ ผลคือกลายเป็นคู่แข่งแย่งลูกค้ากันโดยตรง อารมณ์เดียวกับขายข้าวมันไก่แล้วมีร้านมาเปิดตรงข้ามนั่นแหละ ความขัดแย้งของ 2 เมืองในฐานะเมืองท่าเริ่มทวีคูณนับแต่นั้นมา 4. อุณหภูมิความตึงเครียด ขยับสู่วงการกีฬา ด้วยความเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง ไปมาหาสู่กันสะดวก ทำให้การแข่งขันกีฬาที่ 2 เมืองนี้มาเจอกัน แฟนกีฬาสามารถยกโขยงมาได้แบบเต็มความจุสนาม ไม่ใช่แค่ฟุตบอลนะครับ ทั้งคู่ยังมีพวกทีมรักบี้ , ทีมคริกเก็ต ที่เป็นคู่แข่งกันโดยตรง และแน่นอน ฟุตบอล เจอกันที่ไหนเมื่อไหร่เป็นได้เห็นผู้ชมล้นสนาม พอที่นั่งไม่พอให้เข้าชม แฟนบอลก็จะไม่มีทางเลือกต้องไปจับกลุ่มดูทาง TV ข้างนอก วันดีคืนดีกระทบกระทั่งเลือกตกยางออกตามร้านเบียร์พอหอมปากหอมคอ เป็นคู่แข่งกันโดยตรงไม่ว่าเจอกันสนามไหนเป็นต้องมีแถมกันบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องในอดีตนะครับช่วงฟุตบอลยุคใหม่นี่เราไม่ค่อยเห็นถึงขนาดไล่ปาขวดกันแบบสมัยก่อน ถึงจะพอมีบ้างแต่ก็น้อยลง 5. เข้าสู่ฟุตบอลยุคใหม่ กลายเป็นสงครามโซเชียล ทั้งคู่ “แมนยู” และ “ลิเวอร์พูล” ทั้ง Facebook , twitter มีฐานแฟนบอลติดตามกันหลักสิบล้านคน ตามบอร์ดกีฬาทั่วไปจะเห็นแฟนคู่นี้มาเปิดสงครามย่อม ๆ มาถึงตรงนี้คงคุ้นเคยกันดี รวมถึงมีประสบการณ์ตรง คงไม่ต้องยกตัวอย่างกันนะครับ ส่งผลให้เรตติ้งคู่นี้เป็นที่ถูกใจของเหล่าสปอนเซอร์ ถ้าไม่ใช่ยุคโควิด-19 เราจะเห็นมีกิจกรรมจอยักษ์เพื่อถ่ายแดงเดือดโดยเฉพาะ ไม่ว่าใครจะฟอร์มดีฟอร์มแย่ยังไงแต่เมื่อมาเจอกันเป็นต้องมีอะไรดราม่าให้พูดถึงหลังเกม และคำว่า “แดงเดือด” ก็อยู่ในหัวใจแฟนบอลเสมอมา มาถึงบทสรุป แล้วเค้าเกลียดกันจริงมั้ย? แฟนบอลบ้านเราเห็นทะเลาะกันจะเป็นจะตายตามโซเชียลขนาดนั้น แต่แท้จริงแล้วเค้ารักกันนะครับ เพื่อนฝูงเชียร์คนละฝั่งเป็นเรื่องปรกติ ถึงเวลามีใครแพ้ภาษาแฟนบอลคือแซวกัน บลัฟกันขำ ๆ แฟนลิเวอร์พูลกับแมนยูไม่รู้จักกัน มานั่งร่วมโต๊ะเชียร์บอลเป็นเรื่องปรกติ ส่วนในอังกฤษเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ในยุคหลังตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินตกปี ค.ศ. 1958 แมนยูเสียนักเตะไปหลายคน ลิเวอร์พูลคือทีมแรก ๆ ที่ได้ยื่นมือเสนอให้ยืมนักเตะหลายคนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้จนจบฤดูกาล ความรู้สึกของแฟนบอลเปลี่ยนไป การกระทบกระทั่งน้อยลง เหลือเพียงการห้ำหั่นในสนามที่ยังคงดุเดือดไม่เปลี่ยนแปลง และคาดว่าจะยังคงสนุกอย่างนี้ตลอดไปครับ ตราบใดที่โลกนี้ยังมีฟุตบอล.. ภาพประกอบโดย Premierleague Official : ภาพปก Bruno , Salah / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 : Google Maps / ภาพที่ 3 : Google Maps , Paxabay : OpenClipart-Vectors / Premierleague Official : ภาพที่ 4 , ภาพที่ 5 , ภาพที่ 6 บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ - วิเคราะห์ก่อนเกม แมนยู VS ลิเวอร์พูล แดงเดือดนัดแตกหัก! (ลิงก์ดูฟรี) ช่องดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ และกีฬาชั้นนำทั่วโลก >> คลิกที่นี่ ดูบอลพรีเมียร์ลีกฟรี ทุกสัปดาห์ ผ่านทาง ID Station >> คลิกที่นี่ ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดทุกแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี