สวัสดีครับ วันนี้ผมขอมารีวิวหนังสือที่หลายคนคงสะดุดตากับชื่อหนังสือพอสมควร เพราะขึ้นชื่อว่า MBA ที่ย่อมาจาก Master of Business Administration แล้ว หลายคนคงให้ความสนใจ เพราะคอร์สที่ขึ้นชื่อว่าแพงและยังเป็นที่นิยมนั้นต้องมีเนื้อหาบางอย่างที่เราแทบทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรนี้พอสมควร และหนังสือเล่มนี้เองก็ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่สนใจหลักสูตร MBA ด้วยเนื้อหาสรุปย่อราวกับนั่งอ่านสรุปจากสิ่งที่ผู้เขียน Jason Barron ไปนั่งเรียนมาแล้วเขียนสรุปสั้นๆมาให้เราได้อ่านกันเลยทีเดียว ไปดูกันครับว่าในเนื้อหาภายในเล่มนั้นจะมีหัวข้ออะไรกันบ้าง ในบทที่ 1 คือเรื่องภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำหลายคนเข้าใจผิด แท้จริงแล้วมันไม่ใช่การจัดการแต่มันคือภาพพจน์ตัวตนของเรา มันคือการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านตัวตนของเรา พูดง่ายๆก็คือพวกเขาเหล่านั้นคิดหรือรู้สึกกับคุณอย่างไร นั่นแหละครับคือแบรนด์ของคุณ บทที่ 2 รายงานทางการเงินของบริษัท ก็จะพูดถึงงบการเงินทั้ง 3 ประเภทที่เรามักเจอในแวดวงธุรกิจ ทั้งงบดุล (งบแสดงฐานะการเงิน) งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด พร้อมทั้งอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าบริษัทดำเนินงานไปได้ดีแค่ไหน บทที่ 3 การจัดการการประกอบการ ประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ คือการแก้ไขความเจ็บปวดของผู้คน พวกเขาเผชิญปัญหาอะไรในชีวิตแล้วสินค้าบริการของเราแก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้ พวกเขาถึงจะยอมมาเป็นลูกค้าของคุณ บทที่ 4 การบัญชีเพื่อการจัดการ เป็นพิจารณาถึงต้นทุนในธุรกิจของเรา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้นทุนคงที่ และ ต้นทุนผันแปร รวมทั้งการใช้หลักการ CVP ซึ่งย่อมาจาก Cost Volume Profit หรือ ต้นทุน ปริมาณ และกำไร นั่นเองครับ บทที่ 5 การเงินธุรกิจ ในบทนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน นวัตกรรม และทุนการเงิน ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด บทที่ 6 การตลาด เราประกอบธุรกิจเราต้องโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าที่รักเรา ภักดีต่อแบรนด์ของเรา เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนั้นโน้มน้าวไปยังเพื่อนหรือคนที่พวกเขารู้จักแนะนำผลิตภัณฑ์ของเรา การแนะนำลักษณะนี้เป็นไปในแบบปากต่อปากไปยังกลุ่มลูกค้าที่ยังลังเลให้กลับมาเริ่มสนใจในผลิตภัณฑ์ของเรามากขึ้น อย่าไปเสียเวลากับกลุ่มที่เกลียดเรามากเกินไป รู้จักทำตัวเป็นผู้บริโภค สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง สร้างแรงจูงใจให้พนักงาน ถึงจะทำให้แบรนด์ของเราแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน บทที่ 7 การจัดการการดำเนินงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การออกแบบ การจัดการ และการปรับปรุง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้าใจการดำเนินงาน เข้าใจผลการดำเนินงาน และเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการ บทที่ 8 การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ นั่นก็คือ การสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน ซึ่งประเมินศักยภาพของแรงจูงใจเป็นตัวเลขด้วยหลักการ MPS (Motivating Potential Score) บทที่ 9 การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ การเจรจาจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จ หากเรารู้จักแยกคนกับปัญหาออกจากกัน พุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ที่จะได้กันทั้งสองฝ่าย รวมทั้งมีวิธีดำเนินการที่เป็นธรรม บทที่ 10 กลยุทธ์ กลยุทธ์ที่ดีต้องสร้างความแตกต่าง ชนิดที่คู่แข่งเข้ามาทดแทนได้ยากยิ่งดี บทที่ 11 จริยธรรมทางธุรกิจ คือโฟกัสไปที่ภาพลักษณ์ที่ดี ตัดสินใจให้รอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฟ้องร้องจนเกิดเป็นกรณีข้อพิพาทขึ้นมาภายหลังจนเป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียง บทที่ 12 การเงินสำหรับผู้ประกอบการ ในเนื้อหาของบทนี้จะเน้นไปที่หลักการ SWOT ซึ่งย่อมาจาก Sterengths จุดแข็ง, Weaknesses จุดอ่อน, Opportunities โอกาส, Threats อุปสรรคจุดแข็งและจุดอ่อน มักเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ความได้เปรียบเรื่องต้นทุน และคุณภาพสินค้าที่เหนือกว่า รวมทั้งประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ชื่อเสียงของตัวผู้ประกอบการเองส่วนโอกาสและอุปสรรค ถือเป็นปัจจัยภายนอกทั้งเรื่องของการแข่งขันที่มีอยู่เดิม ขนาดของตลาดที่เป็นไปได้ ความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีใหม่ๆ การเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นต้น บทที่ 13 การชั่งใจและการตัดสินใจ จะมีประเด็นอยู่ทั้งหมด 5 ข้อProblem การตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างถูกจุดObjectives จัดทำรายการวัตถุประสงค์ทั้งหมดออกมาAlternatives การระดมสมองหาทางเลือกConsequences ผลลัพธ์ที่ได้Trade Offs ภาวะได้อย่างเสียอย่าง เปรียบเทียบทางเลือกทั้งหมด แล้วจึงตัดสินใจ บทที่ 14 บทบาทของผู้จัดการทั่วไป คือการแก้ปัญหายุติประเด็นยุ่งยากต่างๆ ช่วยทีมงานคนอื่นๆตีกรอบปัญหาอย่างถูกต้อง พร้อมแนะนำหนทางแก้ไขปัญหา การที่ซีอีโอได้เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ลูกน้องยังไม่พร้อมหรือยังไม่เข้าใจที่จะเปลี่ยนตาม บริบทที่ต่างกันเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานได้หากเราไม่ได้ก้าวไปพร้อมกัน บทที่ 15 การคิดเชิงกลยุทธ์ เนื้อหาในบทนี้จะเป็นการยกตัวอย่างบุคคลในประวัติศาสตร์ซึ่งในฐานะการเป็นผู้นำ มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ยกตัวอย่าง ภายในเล่มจะมีการพูดถึงพลเอก โรเบิร์ต อี ลี วินสตัน เชอร์ชิล ไอเซนฮาวร์ และฮิตเลอร์ บทที่ 16 ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ในบทนี้จะเน้นไปที่เรื่องของการระดมความคิดให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้จะฟังดูเป็นไปไม่ได้ก็ตาม จากนั้นค่อยกลั่นกรองเลือกความคิดดีๆเข้ามาที่สามารถแก้ปัญหาให้ประโยชน์กับผู้คนได้ เช่น การจะเพิ่มยอดขายมิ้ลค์เชค แม้ลดราคาแล้ว ทำไมยังขายได้ไม่ดี ก็ต้องไปวิเคราะห์หาสาเหตุก็พบว่าผู้บริโภคนิยมดื่มมิลค์เชคแทนมื้อเช้า ไม่นิยมดื่มเป็นของว่าง จึงปรับกลยุทธ์ตั้งซุ้มขายมิ้ลค์เชคในช่วงเช้าแทน บทที่ 17 พื้นฐานการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ เป็นเรื่องของการหาความคิดที่ดี แปลกและแตกต่าง มีเหลี่ยมในการแข่งขันและสามารถทำกำไรได้ บทที่ 18 ผลการดำเนินงานกับแรงจูงใจ เป็นเรื่องของผลประโยชน์องค์กรกับตัวพนักงาน เนื้อหาในบทนี้จึงเป็นเรื่องของการวางโครงสร้างและการสร้างแรงจูงใจที่ทำให้วัตถุประสงค์ของธุรกิจกับแรงจูงใจของพนักงานสอดคล้องกัน โดยมี 3 มาตรวัด สิทธิการตัดสินใจ การวัดผลการดำเนินงาน ระบบแรงจูงใจ บทที่ 19 การจัดการระดับโลก ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจบางอย่างใช้ได้ผลกับที่นี่ แต่กับตลาดต่างประเทศอาจใช้ไม่ได้ผล ด้วยเนื่องจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความแตกต่างด้านการบริหาร ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ความแตกต่างด้านเศรษฐกิจ และนี่คือเนื้อหาของหนังสือ The Visual MBA ทั้ง 19 บทครับ โดยรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาเหมือนกับการจดเลคเชอร์สรุปเนื้อหาจากห้องเรียน โดยที่เราจะได้เห็นภาพรวมของหลักสูตรทั้งหมดราวกับเราได้ไปเรียนมาเลยทีเดียว ใครที่สนใจที่ศึกษาต่อปริญญาโทหลักสูตร MBA ผมเชื่อว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นได้ หากสนใจจะศึกษาต่อจริงๆก็จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องลังเล หรือหากใครต้องการเพียงแค่อ่านเสริมความรู้ ก็อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ทุกอาชีพส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่แล้ว อีกทั้งยังทำให้เข้าใจความเป็นไปของโลกด้วย ไม่ว่าโลกจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้เหล่านี้ก็ล้วนเป็นพื้นฐานเพื่อการต่อยอดในเรื่องอื่นๆได้เช่นกันหนังสือ The Visual MBA หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป เครดิตรูปภาพรูปที่ 1 /รูปที่ 2 /รูปที่ 5 โดยผู้เขียนรูปที่ 3 โดย pixabayรูปที่ 4 โดย pixabay