ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่น่าจะถือเป็นฝันร้ายของผมก็ว่าได้ เพราะร่างกายทรุดลงไปกับพื้น เพราะสภาวะอ่อนแรง (ครึ่งซีกซ้าย) แต่ผมค่อนข้างโชคดีที่มีสติ โทรหาน้องสาวเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่นานครับรถโรงพยาลมารับถึงบ้าน และถือเป็นโชคดีที่ได้รับยาสลายลิ่มเลือดทัน สมองจึงเสียหายแค่ครึ่งเดียว (ใช้คำว่า “แค่”) จากนั้นผมได้รับการตรวจรักษาจากทั้งโรงพยาบาลนเรศวร และโรงพยาบาลจุฬาฯ รวมถึงศูนย์ฟื้นฟูสวางคนิวาส (สมุทรปราการ) และท้ายที่สุด ผม ณ ตอนนี้สามารถฟื้นฟูร่างกายมาได้เกือบ 90% หลายท่านอาจมองว่าผมมีความพยายาม แต่แท้จริงแล้วเพียงกำลังผมคนเดียวคงไม่มีทางมาถึงทุกวันนี้ได้ มันต้องมีแรงสนับสนุนทั้ง 2 แหล่ง คือ แรงส่งจากสิ่งแวดล้อมและตัวเอง และที่สำคัญที่สุด คือ ที่ทำงานผม+บุคลากร ที่ยังเห็นถึงความสามารถผม แม้จะประสบปัญหาหลอดเลือดสมองก็ตาม ใช่ครับ! ผมยังมีโอกาสทำงานต่อ และครอบครัว+ผองเพื่อน รวมถึงบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด ที่ถือเป็นกำลังใจหลักในการทำกายภาพ และเป็นแรงสนับสนุนให้ผมสู้ต่อ ฝันร้าย ขออนุญาตเล่าย้อนไป ถึงช่วงที่ผมฝึกกายภาพที่ศูนย์ฟื้นฟูฯ ครับ โดยทางศูนย์จะมีการประเมินพัฒนาการของผู้ป่วยแต่ละคนว่า สมควรจะให้อยู่ต่อหรือไม่ กรณีผมได้สิทธิอยู่ต่อแค่ครั้งเดียว เพราะพัฒนาการครั้งที่ 2 ค่อนข้างจะคงที่ แต่ แต่ แต่ ในการประชุมทีมเพื่อประเมินพัฒนาการของผมครั้งแรก คุณแม่ผมได้รับข้อเตือนว่า “ทางเราทราบว่าคุณแม่รักลูก แต่ถ้ามองในระยะยาว คุณแม่ไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอด" ดังนั้นทางศูนย์แนะนำว่าช่วยเขาเท่าที่จำเป็นพอ ไม่ใช่ช่วยทุกอย่าง เช่น กิจกรรมอะไรสุ่มเสี่ยง เช่น ถือบรรจุภัณฑ์ที่แตกได้ การช่วยเขาถือไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้เขาทำเอง การดูแลเมื่อเข้าห้องสุขา ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วยจับ ควรเข้าไปตรวจความเรียบร้อย แต่การฟอกสบู่ สระผม แปรงฟัน แนะนำได้ แต่ปล่อยให้เขาทำเอง และการฝึกความระมัดระวังต้องให้ผู้ป่วยทำด้วยตัวเอง เช่น ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจจะตกเตียง ตกบันได ลื่นล้ม หรือทำถ้วย ชาม แก้วแตก คุณแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกใช้ความระมัดระวังมากน้อยเพียงใด เพราะคุณแม่ต้องลองคิดว่าความเป็นจริง คุณแม่ไม่สามารถอยู่กับน้องเขาได้ตลอดไป แต่น้องเขาต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ได้คนเดียว อย่างไม่เป็นภาระของผู้อื่น พัฒนาการของการกายภาพดังนั้นทุกวันนี้ ผมจึงต้องเตือนตัวเองว่า “ให้พึ่งพาตนเองให้มากที่สุด” ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง พึงพาผู้อื่นให้น้อยที่สุด ทิ้งท้ายไว้นะครับว่า “อย่างน้อย การใช้ชีวิตนับจากนี้ไป ผมต้องมีสติและพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด” พึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด ปล. บทความนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าผมไม่ได้รับความรักและความปรารถนาดีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร (หมอดวงนภา) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุคลากรคณะนิติศาสตร์จุฬาฯ เพื่อน ๆ พี่ ที่ปรึกษากฎหมายหลาย ๆ ท่านจากลอว์เฟิร์ม ณ กรุงเทพฯ เพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันทั้งออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา สนร. ประจำสหรัฐอเมริกา เพื่อน ๆ จากโรงเรียนนครสวรรค์ โดยเฉพาะครอบครัวผมและบุคลากร ณ ศูนย์สวางคนิวาส ได้แก่ หมอขวัญยุพา หมอศิริพร หมออ๊อฟ พี่ชื่น พี่วิบูรณ์ พี่เสก โบว์ พี่กิ่ง พี่แหม่ม พี่ฝน พี่อัน พี่ราเมษ โน้ท เบลล์ ทราย (คนที่ตีผม) พี่อ้วน พี่ก้อน เฟิร์น นัตตี้ ป็อบ หมอโอเค พี่ปลั๊ก พี่เป๋ง เมิร์ส ป้าแก้ว พี่ไก่ เด็กฝึกงานจากฟิลิปปินส์ และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ พี่นนท์ พี่หม่อม พี่หญิง น้องอัสมี่และคุณแม่ เฟรม คุณลุงพนม คุณลงเกียฮะ น้องทักษิณและคุณพ่อ ขอบคุณปะป๊าด้วยนะ และคนอื่น ๆ ที่ผมนึกรายชื่อไม่ออก อย่าน้อยใจนะ ผมนึกไม่ออกจริง ๆ trust me I am a lawyer! ขอบคุณนะถึงผู้ป่วยโรคนี้ทุกท่าน โปรดระลึกไว้เสมอว่าเป็นได้ก็หายได้เครดิตภาพ : ภาพปก / 1 / 2 / 3 / 4