ฝนเอยทำไมจึงตก? ฝนตกเพราะกบมันร้อง ยามเข้าเดือนหกฝนก็ตกพรำ ๆ ตามชนบทตอนหัวค่ำจนถึงดึกหลังจากฝนหยุดตกก็จะได้ยินเสียง อ๊อบ อ๊อบ!! ที่กบร้องตามธรรมชาติและนั่นก็ทำให้ชาวบ้านในย่านลุ่มน้ำเตรียมตัวพร้อมออกเดินทางไปจับกบ แต่ละคนจะมีวิธีจับที่แตกต่างกันออกไปทั้งจับด้วยมือเปล่า ใช้ฉมวก จนถึงเครื่องช็อตไฟฟ้า หากแหล่งนั้นอุดมสมบูรณ์หน่อยไม่ค่อยมีคนจับโดยเฉพาะแถวบ้านของผู้เขียนเพียงไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็สามารถหามาได้ถึง 10 กิโลกรัมเลยทีเดียวค่ะกบนา ที่จับได้มาจะมีลักษณะผิวสีน้ำตาล จุดดำขรุขระ หรือสีเผือกขาว สีทอง ขนาดตัวเมียจะใหญ่กว่าตัวผู้ น้ำหนักโตเต็มที่อยู่ที่ 200 - 400 กรัมค่ะ ฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือน มีนาคม ถึง กันยายน กบนาตัวผู้จะมีผิวสีเหลือง เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ ใกล้บ่อน้ำ และในนาข้าว กินไรแดง แพลงค์ตอนและแมลงตัวเล็กตามธรรมชาติเป็นอาหาร ปัจจุบันมีเกษตรกรนิยมนำมาเพาะพันธุ์เลี้ยงระบบปิดและขายเป็นจำนวนมากค่ะ กบนาสดที่จับมาได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือทำอาหารในครัวเรือนและแบ่งขายค่ะ ราคาจะเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 120 บาทตามความหาอย่างและพื้นที่จำหน่ายค่ะ เนื้อกบ อุดมไปด้วยโปรตีนสูง ไขมันต่ำ ป้องกันยับยั้งมะเร็งเส้นเลือดงอกในสมอง แคลอรี่ต่ำ จากภาพด้านบนคุณตาของผู้เขียนชอบรับประทานเป็นเมนูกบย่าง จิ้มน้ำพริกเผา กลายเป็นกับแกล้มเมนูป่าที่เข้ากันดี ส่วนคุณยายของผู้เขียนนำไปทำเป็นยำกบค่ะ ปรุงให้ครบรสอัดสมุนไพรตามไปแน่น ๆ หากทำจำนวนมากก็จะแบ่งใส่ถุงขายในราคา ถุงละ 30 บาทอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้เมนูเด็ด ๆ ประจำครัวไทยที่ใช้กบก็มี ผัดเผ็ดกบนาพริกไทยอ่อน กบผัดฉ่า กบนึ่งสมุนไพรเนื้อนิ่มกับน้ำจิ้มรสจัด แกงป่ากบ อ่อมกบนา ป่นกบนา กบนาทอดกระเทียมพริกไทย หากผู้อ่านท่านใดสนใจก็แนะนำให้ไปลองหารับประทานกันค่ะ รสสัมผัสคล้ายเนื้อไก่ รับรองว่าอร่อยกว่าที่คิด (หากท่านไม่ติดภาพกบก่อนมาทำอาหารอยู่ในหัว) ช่วยกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านอาหารไทยไม่ให้สูญหายไปพร้อม ๆ กันนะคะภาพประกอบบทความ โดย (Moona K)