บทเรียนนำทางการปรับสภาพจิตใจ คงเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับซีรีส์เรื่อง It's Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน ซึ่งออนแอร์ทาง NETFLIX ได้เพียงสองตอน แต่กลับสร้างความฮือฮาสู่สายตาผู้ชมได้อย่างน่าประทับใจ เพราะไม่เพียงแต่ทีมนักแสดงที่นำโดย คิมซูฮยอน กับ ซอเยจี ซึ่งหลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่มีเคมีบางอย่างที่ลงตัวกันเสียเหลือเกิน เอาเป็นว่าเรื่องการคัดเลือกนักแสดงคงไม่เป็นที่กังขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่จับตามอง คงหนีไม่พ้นเค้าโครงเรื่องที่มีความแปลกใหม่ การใช้หลักจิตวิทยานำพาตัวละครไปพบกับแก่นเรื่อง เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมที่แท้จริงว่า เราทุกคนต่างมีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น เรื่องสำคัญอยู่ตรงที่เราจะวิ่งหนีหรือเผชิญหน้ากับมันต่างหากไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นซีรีส์แนวโรแมนติกแฟนตาซีที่คลุกเคล้าไปกับความดาร์กได้อย่างกลมกล่อม เปิดมาตอนแรกดูเหมือนจะเป็นเพียงการให้น้ำหนักไปกับการถ่ายทอดชีวิตของตัวละครหลัก และชี้ให้เราเห็นถึงความขัดแย้งชนิดสุดขั้วระหว่างความธรรมดาสามัญของพระเอกอย่าง มุนคังแท กับความจี๊ดจ๊าดจัดจ้านของนางเอกอย่าง โกมุนยอง แต่ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ความเศร้าในใจ ที่ถูกฉาบเอาไว้ด้วยการดำเนินชีวิตตามแนวทางของตัวเอง เพื่อจะกลบเกลื่อนความรู้สึกและสะกดจิตตัวเองอยู่ทุกวันว่า 'ฉันไม่เป็นไร'ซีรีส์ทิ้งปมใหญ่ที่เราคาดเดาไม่ได้อยู่หลายเรื่อง ทั้งพระเอกที่ต้องดูแลพี่ชายอย่าง มุนซังแท ผู้ป่วยออทิสติกที่มักจะฝันเห็นฝูงผีเสื้อไล่ตามเอาชีวิต เป็นสัญญาณว่าได้เวลาที่สองพี่น้องต้องย้ายที่อยู่อีกครั้งเช่นเดียวกับที่ต้องระหกระเหินอยู่ตลอดสิบปี ซึ่งปมผีเสื้อน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตายปริศนาของผู้เป็นแม่ อันนำมาซึ่งความทรงจำวัยเด็กอันแสนเจ็บปวดที่พระเอกพยายามปกปิดเอาไว้ ส่วนนางเอกซึ่งเป็นนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนผู้ต่อต้านสังคม ก็มีปมใหญ่ที่บอกเล่าผ่านพฤติกรรมเฉยชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ก้าวร้าว หยาบคาย เอาแต่ใจตัวเอง ซ้ำยังมีความฝังใจกับพ่อบังเกิดเกล้า ซึ่งน่าจะมีส่วนทำให้ความทรงจำวัยเด็กของเธอเจ็บปวดรวดร้าวไม่ต่างกับตัวพระเอกนั่นเองต้องบอกว่าซีรีส์ออนแอร์ได้เพียงสองตอน แต่ทิ้งปมเอาไว้มากมายจนผู้ชมอย่างเรารู้สึกค้างคาใจ แต่อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า แก่นเรื่องหลักคือตัวละครแต่ละตัวที่มีความทรงจำอันเจ็บปวด ซึ่งชวนให้เราคิดอยู่เช่นกันว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน จะมีมากหรือมีน้อยแตกต่างกันไป ทุกวันที่เราใช้ชีวิตตามปกติ ยิ้มได้หัวเราะเป็น แต่เราไม่เคยลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นได้เลยทุกครั้งที่มีอะไรมากระทบจิตใจ อย่างที่แม่มดในวรรณกรรมที่นางเอกเขียนได้บอกเอาไว้ว่า คนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่ใช่คนที่อยากลบเลือนความทรงจำอันแสนเจ็บปวด แต่จะมีแต่เพียงคนที่เก็บความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้ในใจ การเรียนรู้จากการถูกความเจ็บปวดกัดกินใจ เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้พบกับความสุขอย่างแท้จริงฉะนั้นแล้วบทละครอันแยบคายของซีรีส์เรื่องนี้ การันตีแล้วว่าไม่ใช่งานขายความนิยมของนักแสดงนำ แต่เป็นความละเมียดละไม หยิบเอาเรื่องราวทางจิตวิทยามาบอกเล่าอย่างนุ่มนวล ไม่ดาร์กจนเกินไป โดยการทำให้ผู้ชมรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยการปรุงความโรแมนติกขายฝันสไตล์ซีรีส์เกาหลีอย่างถูกจังหวะ รวมทั้งงานภาพแฟนตาซีที่ใส่ลงมาอย่างกลมกลืน มีคัตซีนที่เชื่อมโยงระหว่างฉากได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือการกระตุกคิดและเป็นกระจกสะท้อนใจของผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม ใครที่ลังเลว่าเนื้อเรื่องจะหนักหน่วงเกินไป ถึงแม้จะมีความติสท์ที่เราไม่ค่อยได้เห็นจากเรื่องอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่ขอบอกว่าดูได้สบายไม่มีอะไรซับซ้อน อีกทั้งยังแฝงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราสามารถนำไปใช้กับคนใกล้ตัวได้อีกต่างหากIt's Okay to Not Be Okay ออนแอร์ทางสถานีโทรทัศน์ tvN ของเกาหลี ส่วนประเทศไทยรับชมได้ทาง NETFLIX ในคืนวันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งสามารถรับชมผ่านทางกล่อง TrueID ได้แล้ว โดยซีรีส์เรื่องดังกล่าวจะออกอากาศสัปดาห์ละ 2 ตอน จากเนื้อเรื่องทั้งหมด 16 ตอน ต้องคอยลุ้นกันว่าเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดจะดำเนินต่อไปอย่างไร ทุกคนในเรื่องจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด หรือต้องการลบเลือนสิ่งเหล่านั้นออกไปจากใจ คำถามอยู่ที่ว่าหากเราเลือกจะลบมันไปแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่มีความสุขได้จริงหรือไม่ เพราะความทุกข์ที่ฝังลึกไม่เคยหายไป แต่ยังคงคอยกรีดเลือดเฉือนเนื้อเราอยู่เสมอ เพื่อให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นหล่อเลี้ยงความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นกับเราตลอดไปเครดิตรูปภาพ- รูปภาพทั้งหมดจาก Official Facebook Page : tvN (Drama)ผลงานรีวิวซีรีส์และภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของผู้เขียน- Over the Moon เนรมิตฝันสู่จันทรา จากตำนานจีนสู่ภาพยนตร์แอนิเมชันทาง NETFLIX- รีวิว Snowpiercer การปฏิวัติชนชั้นครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม