ครั้งที่แล้วในบทความ บันทึกจากแคมป์คนงาน ผู้สร้างพีระมิดแห่งอียิปต์ ผู้เขียนได้พาผู้อ่านย้อนกลับไปยังบรรยากาศการก่อสร้างกลุ่มมหาพีระมิดทั้งสามแห่งกีซา พร้อมกับเปิดเผยกลไกการทำงานและสวัสดิการแรงงานกันไปพอหอมปากหอมคอ มีสิ่งหนึ่งที่ได้หยอดเอาไว้ในบทความที่ผ่านมาคือ ความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายของชาวไอยคุปต์ (Afterlife Beliefs of Ancient Egyptian) ครั้งนี้จึงอยากพาทุกคนท่องไปตามเส้นทางสู่โลกหลังความตาย ก่อนอื่นกรุณาคาดเข็มขัดให้แน่น เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เพราะเรากำลังโลดแล่นไปยังแดนสุขาวดีของชาวอียิปต์ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมายหลายรูปแบบ ที่สำคัญต้องศึกษาคู่มือท่องโลกหลังความตายให้เข้าใจถ้วนถี่ เพราะหากสวดคาถาผิดแม้เพียงบทเดียว ท่านจะไม่ได้เห็นแม้เพียงเศษเสี้ยวของแดนสวรรค์ที่เรากำลังจะเดินทางไปถึงขอให้นึกอยู่เสมอว่าท่านคือบุคคลผู้มีเอกสิทธิ์ที่จะได้เดินทางไปยังโลกหลังความตาย เพราะหากย้อนไปยัง อารยธรรมอียิปต์สมัยอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) การไปสู่สวรรค์เป็นสิทธิเฉพาะของเชื้อพระวงศ์แต่เพียงเท่านั้น มีเพียงฟาโรห์และราชินีที่เมื่อสิ้นชีพลงแล้ว นักบวชจะท่องบทสวดบริกรรมคาถา ส่งฟาโรห์และราชินีโดยสารไปกับเรือสุริยะซึ่งเป็นยานพาหนะของเทพเจ้ารา (Ra) เพื่อจะไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้า บนฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่มีวันดับ เรื่องราวเหล่านี้ถูกจารึกด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิก (Hieroglyphs) เอาไว้บริเวณห้องฝังศพภายในพีระมิดแห่งอาณาจักรเก่านั่นเองแต่เมื่อเวลาล่วงเลยมายัง อียิปต์สมัยอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) การเดินทางสู่โลกหลังความตายเปิดโอกาสให้ขุนนางและสามัญชนคนธรรมดาบ้างแล้ว แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว หากเราโดยสารเครื่องบินแล้วต้องซื้อบัตรโดยสารฉันใด การเดินทางไปสวรรค์ของชาวอียิปต์ก็ต้องซื้อ 'คัมภีร์สองทาง' (Book of Two Ways) ด้วยฉันนั้น เส้นทางสู่โลกหลังความตายที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ดังกล่าวประกอบด้วยคาถากว่าหนึ่งพันบท ใช้ความดีความชั่วเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นเครื่องตัดสิน หากผู้ใดประกอบแต่ความดีตลอดทั้งชีวิต ผู้นั้นจะได้ไปใช้ชีวิตหลังความตายยัง อาณาจักรของเทพเจ้าโอซิริส (Osiris) แต่หากก่อบาปไม่เว้นว่างก็จะถูกนำตัวไปยังทะเลเพลิง ที่มีปีศาจและความมืดมิดคอยควบคุมอยู่ตลอดกาลแต่โลกหลังความตายที่กำลังจะพาทุกท่านเดินทางไปในครั้งนี้ เป็นความเชื่อของชาวอียิปต์ในสมัย อาณาจักรใหม่ (New Kingdom) ที่เมื่อวายชนม์ลงแล้ว ร่างกายจะถูกจัดการให้เป็นมัมมี่ด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เคยมีมา ขอทบทวนขั้นตอนที่สำคัญกันสักเล็กน้อย เริ่มจากการนำร่างไร้วิญญาณไปชำระล้างด้วยน้ำตาลสดและน้ำบริสุทธิ์จากแม่น้ำไนล์ จากนั้นจึงทำการควักอวัยวะทุกส่วนออกจากร่างกาย ยกเว้นหัวใจที่จะต้องนำไปใช้ระหว่างทางไปสู่โลกหลังความตาย แล้วจึงใช้เกลือนาตรอน (Natron) แช่ศพเอาไว้เพื่อดูดความชื้น ก่อนที่จะใช้ผ้าลินินที่จารึกคาถาเวทมนต์ห่อพันให้ทั่วร่าง แล้วนำใส่โลงศพที่ภายในมีข้าวของเครื่องใช้รวมทั้ง 'เครื่องรางรูปแมลงทับ' บรรจุอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งของชิ้นสำคัญในการท่องโลกแห่งความตายซึ่งจะเล่าต่อไปนี้เมื่อวิญญาณของผู้ล่วงลับเดินทางมาถึงอุโมงค์แห่งโลกใต้พิภพพร้อมกับ 'คัมภีร์มรณะ' (Book of the Dead) ซึ่งประกอบด้วยรหัสประตู คาถาและบทสวดเกือบสองร้อยบท โดยมี เทพเจ้าอนูบิส (Anubis) ผู้มีเศียรเป็นหมาในสีดำที่หลายคนเคยเห็นตามตำราหรือภาพยนตร์เป็นผู้นำทาง ระหว่างทางไปสู่โลกหลังความตายเต็มไปด้วยภยันตราย ทั้งทะเลสาบไฟ กำแพงเวทมนตร์ และอสูรร้ายที่คอยเฝ้ายามอยู่อย่างขมักเขม้น ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ งูที่ดักซุ่มเพื่อจะกลืนกินดวงวิญญาณ จึงต้องใช้เวทมนตร์ในคัมภีร์มรณะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ถึง ห้องโถงแห่งมาอัต (Maat) เทพีแห่งความจริงและความยุติธรรม ซึ่งกำลังรอที่จะนำพาดวงวิญญาณ ไปสู่การเผชิญกับการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าอย่ามัวรีรอที่จะเดินทางต่อ ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์จะต้องพบกับเทพเจ้าทั้ง 42 องค์ เพื่อทำการขานนามให้ถูกต้อง รวมทั้งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าด้วยบาปครั้งเมื่อยังมีชีวิต ถึงแม้ว่าครั้งยังมีชีวิตจะเคยก่อบาปมาบ้างก็ตาม แต่ผู้ตายมีสิทธิโกหกอย่างไรก็ได้ เพื่อโน้มน้าวเทพเจ้าว่าตนเคยใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าเครื่องรางรูปแมลงทับคอยทำหน้าที่เป็นพยานให้ทุกคำพูดที่เป็นความจริงเท่านั้น เพราะเมื่อเสร็จสิ้นจากการพิพากษาดังกล่าวก็จะถึงขั้นตอนสำคัญที่สุดคือ การนำหัวใจที่ติดตัวมาไปชั่งน้ำหนักกับขนนกกระจอกเทศบริสุทธิ์ หากหัวใจมีน้ำหนักเบากว่าขนนกกระจอกเทศ หมายความว่าดวงวิญญาณนั้นกระทำดีอย่างคำพูดในห้องพิพากษาทุกประการ เทพเจ้าโอซิริสจะส่งให้ไปใช้ชีวิตในทุ่งต้นกกแดนสวรรค์ แต่หากชั่งน้ำหนักแล้วหัวใจหนักกว่าขนนกกระจอกเทศ ถือว่าเป็นดวงวิญญาณแห่งบาป จะถูกพิพากษาให้ ปีศาจอัมมุต (Ammut) ซึ่งเป็นอสูรรวมร่างของจระเข้ เสือดาว และฮิปโปโปเตมัส กัดกินจนไม่สามารถเดินทางต่อไปยังแดนสุขาวดีได้นั่นเองและเราก็ได้นำพาท่านมาสู่สรวงสวรรค์ของชาวอียิปต์เรียบร้อยแล้ว ทุ่งต้นกก (Field of Reeds) ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา คือดินแดนหลังความตายที่ดวงวิญญาณที่กระทำดีจะได้มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ดวงวิญญาณจะได้พบกับพ่อแม่ผู้ล่วงลับ ที่แห่งนี้ทุกคนไม่มีความเจ็บปวดและความโศกเศร้าใด ๆ จะมีแต่ความสุขที่ทุกคนได้พบอย่างแท้จริง และนี่คือการท่องโลกหลังความตายของชาวอียิปต์ ซึ่งบันทึกลงในกระดาษปาปิรัสความยาว 78 ฟุต โดยเสมียนแห่งเมืองธีปส์จากอียิปต์นามว่า อะนิ (Ani) เรียกว่าเป็นคัมภีร์สำคัญของผู้ตายทุกชนชั้น เริ่มจากเชื้อพระวงศ์ขุนนาง และสามัญชนคนธรรมดา ซึ่งมีพัฒนาการไปตามยุคตามสมัยนั่นเอง หวังว่าทุกท่านจะได้รับประสบการณ์และความประทับใจ ตลอดการเดินทางสู่โลกหลังความตายกับเราในครั้งนี้เครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Freepik : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 1 โดย Upklyak : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 2 โดย Aldboroughptimaryschool : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Meelimello : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Freepik : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 5 โดย Upklyak : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 6 โดย Souza_DF : PIXABAYข้อมูลประกอบบทความบางส่วนจาก- หนังสือ Papyrus of Ani : E. A. Wallis Budge- Youtube, The Egyptian Book of the Dead : TED-Ed