รูปปกโดย : pixabayประเทศตุรกีโดยเฉพาะนครอิสตัลบูลเป็นเมืองที่หลายคนโดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบศิลปะและประวัติศาสตร์เดินทางมาท่องเที่ยวกันมาก และผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีโอกาสได้มาเยือนดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณเก่าแก่ของโลกแห่งนี้ ซึ่งดินแดนนี้ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอนาโตเลียเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงระหว่าง 2 ทวีป คือทวีปเอเชียและทวีปยุโรปมาตั้งแต่สมัยโบราณ และวันนี้เราจะมากันที่มหาวิหารอายาโซเฟียหรือฮายาโซฟีอา เรามาดูกันครับว่าที่นี้มีอะไรน่าสนใจมั้ง ทำไมสถานที่นี้จึงได้รับการโหวตให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเป็นอันดับหนึ่งของโลกถึง 2 ปีซ้อน วันนั้นผมกับเพื่อน ๆ ก็เดินทางมามหาวิหารนี้ตั้งแต่เช้า นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันมาแล้วครับ มาถึงก็ต้องเข้าคิวซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม สนนราคาคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500 บาทต่อคน แต่หากใครมีเวลาที่จะเที่ยวที่อิสตัลบูลมากหน่อย ผมแนะนำให้ซื้อเป็นตั๋วมิวเซียมพาส ซึ่งซื้อครั้งเดียวแต่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้หลายแห่ง ไม่ต้องมาเข้าคิวซื้อในทุกที่ที่ไปชม แถมประหยัดกว่ามากถือว่าคุ้มกว่ากันเยอะครับรูปภาพโดยผู้เขียนรูปภาพโดย : pixabayเอาล่ะครับตามผมมา พอเข้ามาข้างในมันกว้างใหญ่จริง ๆ สมกับที่เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางเลยทีเดียวครับ ลักษณะของอาคารก็จะเป็นอาคารทรงโดม และมีภาพวาดโมเสก ภาพโมเสกก็คือภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากหินสี กระจกหรือแม้แต่กระเบื้องเอามาประกอบกันจนเป็นภาพ นิยมกันมากในยุคกลางครับ มหาวิหารอายาโซเฟียสร้างขึ้นมาในยุคที่อาณาจักรไบแซนไทน์หรืออาณาจักรโรมันตะวันออก เราเข้ามาก็จะเห็นล่ะครับว่าศิลปะเกือบทั้งหมดในมหาวิหารแห่งนี้เป็นศิลปะแบบไบแซนไทน์แทบทั้งสิ้น มหาวิหารอายาโซเฟียเมื่อครั้งแรกเริ่มก่อสร้างนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาโดยจักรพรรดิจัสตีเนียนเพื่อให้เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนานิกายกรีกออโธดอกซ์ และวิหารแห่งนี้ได้ถูกใช้งานในฐานะศาสนสถานคริสต์มาโดยตลอดนับพันปีและเป็นโบสถ์ที่เคยใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อนด้วยนะครับ ก่อนจะเสียแชมป์ให้กับวิหารเซบียาประเทศสเปนไปล่ะครับ รูปภาพโดยผู้เขียนรูปภาพโดยผู้เขียนรูปภาพโดย : pixabayมหาวิหารอายาโซเฟียนี้ภายหลังที่จักรวรรดิออตโตมันได้บุกและเอาชนะจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ทำให้นับแต่นั้นอาณาจักรโรมันตะวันออกก็ถือสิ้นสุดลงตามโรมันตะวันตกไปในที่สุด หลังจากจักรวรรดิออตโตมันปกครองคาบสมุทรอนาโตเลีย สุรต่านมาเหม็ดที่ 2 ก็ได้ทำการเปลี่ยนให้มหาวิหารอายาโซเฟียเป็นสุเหร่าในศาสนาอิสลามครับ พระองค์ได้สั่งการให้ทำการโบกปูนทับภาพโมเสกทั้งหลาย มีการย้ายแท่นบูชารูปปั้นพระมารดาและพระบุตรออกไป พร้อมทั้งให้สร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสัญลักษณ์แบบสุเหร่า เช่นหอคอยสูงที่เรียกว่าเสามินาเรต เพื่ออาซานให้คนมาละหมาด โดยให้สร้างถึง 6 เสาเลยล่ะครับ ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจเพราะไปทำเสามีจำนวนเท่ากับเสาอาซานที่นครมักกะห์ครับ สุดท้ายสุรต่านเลยต้องให้สร้างเสาอาซานเพิ่มที่มักกะห์จากเดิมที่มี 6 เสาก็กลายเป็น 7 เสาครับ นอกจากนี้ยังมีการสร้างป้ายอักษร ทำด้วยไม้เขียนภาษาอาหรับเป็นพระนามของอัลเลาะห์ และศาสดานบีมูฮัมหมัดรวมถึงคนสำคัญ พร้อมทั้งมีการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน โดยให้สังเกตเสามินาเรตครับ ลักษณะเสาจะเป็นแท่งแหลมเหมือนกับดินสอที่เหล่าจนแหลมเปี๊ยบ นั้นล่ะครับศิลปะแบบออตโตมัน และวิหารแห่งนี้ก็กลายเป็นศาสนสถานของศาสนาอิสลามไปในที่สุด ภายหลังเมื่อมีประเทศตุรกีขึ้นมาแล้ว ทางการตุรกีจึงได้ทำการซ่อมแซมและบูรณะมหาวิหารแห่งนี้ พร้อมกะเทาะเอาปูนที่ปิดทับภาพโมเสกออกไป เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนทุกศาสนาสามารถเข้ามาชมอารยธรรมเก่าแก่แห่งนี้ได้เสมอเหมือนกันครับ ยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจในนครอิสตัลบูล หากมีโอกาสผมจะพาผู้อ่านไปเที่ยวชมที่อื่น ๆ อีกครับ