หนึ่งในภาพแห่งความทรงจำของคนไทย คือภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประทับบนล่อที่ชาวบ้านจูง ระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกรชาวเขา หลายคนอาจไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บ้านผาหมีเป็นชุมชนชาวอาข่า ในอดีตอาศัยอยู่บนยอดดอยชายแดนไทยพม่า ชาวบ้านทำอาชีพปลูกฝิ่นตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่การเสด็จฯ ของพระองค์ในวันนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล 49 ปีผ่านไป “นายรอบรู้” มีโอกาสไปเยือนบ้านผาหมีอีกครั้ง วันนี้ชุมชนผาหมีเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว ใครหลายคนอยากมาจิบกาแฟชมบรรยากาศหมู่บ้านในหุบเขา ขึ้นดอยไปชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอาข่า … ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากวันนั้น พระราชาผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ รถของเราเลี้ยวซ้ายที่ทางแยกก่อนถึงตัวอำเภอแม่สาย-สุดชายแดนสยาม เพื่อขึ้นสู่ดอยผาหมี ระหว่างทางผ่านถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนที่ทีมฟุตบอลหมูป่า 13 ชีวิตเคยไปติดจนเป็นข่าวโด่งดัง จุดหมายของเราคือร้านภูฟ้าซาเจ๊ะ ที่นัดหมายกับพ่อหลวงซาเจ๊ะ หม่อโป๊ะกู่ หรือ มนตรี พฤกษาพันธ์ทวี ชายผู้รับหน้าที่จูงล่อในภาพประวัติศาสตร์ พ่อหลวงซาเจ๊ะจำได้ว่า ปี พ.ศ 2513 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มาที่ดอยผาหมีเป็นครั้งแรก หลังเฮลิคอปเตอร์พระองค์ลงจอด ด้วยความที่เส้นทางทุรกันดารและลาดชัน ชาวบ้านจึงนำล่อมาให้พระองค์ประทับเพื่อไปเยี่ยมหมู่บ้าน ตอนนั้นซาเจ๊ะอายุ 28 ปี รับหน้าที่เป็นคนประคองล่อให้ในหลวง รัชกาลที่ 9 และยังทำหน้าที่ล่ามเพราะเป็นชาวอาข่าไม่กี่คนที่สื่อสารภาษาไทยได้ เมื่อไปถึงบ้านพ่อหลวง ซาเจ๊ะชงชาถวายให้พระองค์เสวย เป็นชาป่าที่ชาวบ้านกินกันมานาน ทรงชมว่าชาหอมดี ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เมื่อรับทราบว่าคนที่นี่ไม่มีอาชีพอื่นนอกจากปลูกฝิ่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงขอให้เลิก แต่ชาวบ้านบอกว่าเลิกได้ถ้ามีอย่างอื่นทำ พระองค์จึงให้ทำเกษตรอื่นทดแทน ไม่กี่วันถัดมาก็มีรถสิบล้อของโครงการหลวงบรรทุกเมล็ดพันธุ์กว่า 100 ชนิด และอุปกรณ์การเกษตรมาแจกจ่ายชาวบ้าน ทรงให้แนวคิดว่าทดลองปลูกไปก่อน พืชบางชนิดไม่คุ้นเคยกับดินที่นี่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอันไหนเจริญงอกงามก็ให้ทำต่อไป ผลจากวันนั้นทำให้ชาวบ้านพบว่าการปลูกกาแฟมีผลผลิตดีที่สุด รองลงมาคือลิ้นจี่ และแมคคาเดเมีย พระองค์ยังทอดพระเนตรเห็นชาวบ้านมีฐานะยากจน มีเสื้อผ้าสองสามชุด แถมอาศัยอยู่ติดชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย มีทหารพม่าประจำการ บางคืนได้ยินเสียงปืน มีกระสุนหล่นมาที่หมู่บ้าน ที่สำคัญอยู่ห่างไกลการคมนาคม ถ้ามีผลผลิตทางเกษตร กว่าจะบรรทุกไปขายตลาดก็เน่าแล้ว ในหลวงจึงรับสั่งให้ย้ายหมู่บ้านมาที่อยู่ปัจจุบัน ซึ่งห่างจากบ้านเดิมประมาณ 2 กิโลเมตร ไม่ถึงอาทิตย์ก็มีรถแทรกเตอร์ขึ้นมาทำถนนเข้ามาถึงหมู่บ้าน ทั้งพระราชทานเหรียญชาวเขา ให้ใช้แทนบัตรประชาชน ชาวผาหมีเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชุมชนก็ขยายตัวออกไป สมัยเสด็จฯ ครั้งแรกมีแค่ 29 หลังคาเรือน ตอนนี้เพิ่มเป็น 140 หลังคา มีชาวบ้านประมาณ 700 กว่าคนอาศัยอยู่ นอกจากปัญหายาเสพย์ติดและความมั่นคง พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งฝากให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลป่าไม้และต้นน้ำลำธาร มีหลักคิดที่พระราชทานไว้ 3 ข้อที่สำคัญคือ 1 ไม่ตัดไม้ 2 ไม่เผาป่า 3 ไฟป่าเกิดที่ไหนให้ไปดับ หลังจากนั้นธรรมชาติก็ดูแลเอง ผ่านมาแล้ว 30 ปี เมื่อก่อนป่าเป็นสีเหลืองสีดำปัจจุบันผืนป่าเป็นสีเขียว ต้นไม้สมบูรณ์ พระองค์เสด็จฯ บ้านผาหมีอีก 2 ครั้งเพื่อติดตามผล ครั้งสุดท้ายคือปี พ.ศ. 2517 ทรงบอกว่าคงไม่ได้มาอีกแล้ว แต่จะให้เจ้าหน้าที่ของโครงการหลวงมาดูแลแทน หลังจากนั้นชีวิตของชาวผาหมีก็ดีขึ้นเป็นลำดับ นอกจากการทำเกษตรหาเลี้ยงชีพแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน ชาวบ้านรวมกันเป็นกลุ่มท่องเที่ยวผาหมี จัดกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายแบบ ตั้งแต่ดื่มกาแฟ โล้ชิงช้า ชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตก นอนพักโฮมสเตย์ ไปจนถึงเดินป่าพิชิตยอดเขานางนอน และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้มาเยือน เรียกว่าเป็นอีกจุดหมายที่พลาดไม่ได้ของอำเภอแม่สาย กาแฟแห่งดอยผาหมี นาทีนี้ชื่อเสียงของกาแฟดอยผาหมีโด่งดังไม่น้อยหน้าใครในเชียงราย จากกาแฟต้นแรกที่โครงการหลวงมอบพันธุ์ให้ กลายมาเป็นสวนกาแฟใต้ร่มไม้ในพื้นที่ป่า ต่อยอดเป็นคาเฟบนดอย เสิรฟ์กาแฟหอมๆ พร้อมทิวทัศน์ภูเขาสวยๆ นอกจากจิบกาแฟ ฟังเรื่องราวความเป็นมาแล้ว บ้านผาหมียังมีกิจกรรมท่องเที่ยวเกี่ยวกับกาแฟ ตั้งแต่ตามชาวบ้านไปดูกาแฟต้นแรกในป่าที่ปัจจุบันสูงเกือบเท่าเสาไฟฟ้า ชมการเก็บเมล็ดกาแฟเชอร์รี การล้างเมล็ด ตาก กะเทาะเปลือก คั่ว จนนำมาบด และดริปเป็นกาแฟสด เราจะได้เห็นเส้นทางกาแฟบนต้นมาถึงในแก้ว ระหว่างทางชาวบ้านจะพาแวะลานวัฒนธรรม ให้เราลองโล้ชิงช้า ซึ่งปกติชาวอ่าข่าจะมีประเพณีโล้ชิงช้าเพื่อรำลึกถึงพระคุณของเทพเจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหารประมาณเดือนสิงหาคม ใครกลัวความสูง อาจจะรู้สึกหวาดเสียว แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าลอง ช่วงเย็น เราจะได้นั่งรถกระบะขึ้นดอยไปชมทิวทัศน์ที่จุดชมวิวดอยช้างมูบ ณ ฐานปฎิบัติการดอยช้างมูบ บริเวณรอยต่อชายแดนไทย-พม่า ก่อนเข้าไปต้องแลกบัตรประชาชนเพราะเป็นพื้นที่ของกองทัพ เดินผ่านเส้นทางเป็นขดที่ล้อมด้วยรั้วไม้ไผ่ ปลายทางคือจุดชมทิวทัศน์ที่มองเห็นไปไกลสุดสายตา มีทะเลภูเขาเรียงรายเบื้องหน้า เวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายิ่งสวยงาม ขากลับจะผ่าน จุดถ่ายภาพ @ดอยผาหมี บริเวณที่ทีมฟุตบอล 13 หมูป่า มาถ่ายภาพก่อนเข้าไปติดในถ้ำหลวง ใครอยากเก็บภาพมุมเดียวกันก็เชิญได้เลย จากจุดนี้จะมองเห็นเทือกเขารายล้อม เบื้องล่างเป็นตัวอำเภอแม่สายที่มีแสงไฟระยิบระยับในยามค่ำคืน กินขันโตกอาข่า รับไข่แดงเรียกขวัญ มื้อเย็นที่ผาหมีพิเศษกว่าที่อื่น ตรงที่เราจะได้กินขันโตกแบบอาข่า อาหารส่วนใหญ่เป็นผักจึงเหมือนได้ดีท็อกไปในตัว มีจานเด่นที่น่าลอง เช่น หมูสามชั้นผัดรากชู-ผักพื้นบ้านที่ปลูกในเขตสิบสองปันนา ลักษณะคล้ายรากผักชี ยำผักกวางตุ้ง แอ๊บหมู น้ำพริกถั่วลิสง ปลานิลนึ่งสมุนไพร ซุปมันอะลู รสชาติอาหารส่วนใหญ่จะไม่ค่อยจัดจ้าน แต่ก็กินได้ไม่ยาก ส่วนใครอยากชิมชาที่ชาวบ้านเคยชงถวายให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็สั่งมาลองได้ ชื่อ “ชาตามรอยพ่อ” มีส่วนผสมคือชาป่า ใบเตยไปหอมที่สั่งมาจากเมืองจีน ผักเชียงดา รางจืด ยิ่งคั่วใหม่เท่าไรชงแล้วจะยิ่งหอม เวลาไม่สบายคนผาหมีจะต้มกินให้รู้สึกดีขึ้น กิจกรรมสุดท้ายของวันคือการทำพิธีไข่แดงเรียกขวัญ มาจากความเชื่อของคนอาข่าว่าเวลาใครตกใจขวัญกระเจิง หรือไม่สบาย จะนำไข่ไปต้มกับสมุนไพรตระกูลว่านจนมีสีแดง แล้วให้คนเฒ่าคนแก่ใช้ไข่ช่วยเรียกขวัญ ชาวบ้านจึงนำกิจกรรมนี้มาทำให้นักท่องเที่ยวก่อนเดินทางกลับ คนเฒ่าคนแก่ชาวอาข่าจะมาทำพิธีให้กับเรา โดยนำไข่แดงที่ผูกกับเชือกคล้องคอและผูกข้อมือให้ นอกจากนี้คนอาข่ายังมีประเพณีชนไข่แดงจัดขึ้นช่วงเดือนเมษายน เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ลักษณะเหมือนวันครอบครัวที่พ่อแม่จะสานตะกร้าให้เด็กๆ เดินไปขอไข่บ้านนั้นบ้านนี้มาย้อมสีแล้วชนแข่งกัน มีการตำข้าวปุกคลุกกับงากับน้ำตาลอ้อย เช้าตรู่บนดอยผาหมี ถ้าใครนอนค้างที่โฮมเสตย์บนดอยผาหมี หรือรีบตื่นแล้วขับรถมาแต่เช้าตรู่ ในฤดูหนาวที่จุดชมวิวดอยผาหมี บริเวณกิโลเมตรที่ 12 จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาและทะเลหมอกที่ลอยอยู่เหนือรอยต่อ 3 ประเทศ คือ ไทย-พม่า-ลาว เป็นเหมือนรางวัลส่งท้าย ให้ลาบ้านผาหมีกลับมาอย่างมีความสุข 49 ปี หลังการเสด็จฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เปลี่ยนชุมชนที่เต็มไปด้วยคนปลูกฝิ่น ชีวิตยากจน ผืนป่าถูกทำลาย ให้กลายเป็นชุมชนที่ผู้คนมีความสุข มีอาชีพ และอยู่ได้อย่างยั่งยืน