อื่นๆ

ยายหนูเป็นผีกะ

258
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ยายหนูเป็นผีกะ

ยายหนูเป็นผีกะ


สมัยตอนเด็ก ก่อนที่จะเกิดเรื่องผีโพงในหมู่บ้าน (สามารถอ่านได้ที่เรื่องเล่าจากโพงไพรครับ) ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อว่า “เหมย” เธออายุอ่อนกว่าผมประมาณ 1 ปี ชื่อของเธอไม่ใช่คนจีน แต่มาจากคำว่า “หมอกเหมย” ทางภาษาเหนือแปลว่าหมอกหรือน้ำค้าง บ้านเราอยู่ห่างกันไปสี่หลังคาเรือน เรามักไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เดินเล่นในหมู่บ้าน หาเก็บผลไม้กิน ไม่ก็ไปเที่ยวไร่ส้มของตาและยายผม

บ้านของเหมยนั้นทำนาข้าว และไร่ส้มอีกเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นนาข้าว เพราะผลผลิตให้เงินมากกว่า เธออยู่กับตาและยาย พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่จากคำบอกเล่าของเหมยเอง เธอจึงมาอยู่กับผมบ่อยๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนตากับยายเธอเข้าไร่เข้านาแทบจะทั้งวัน และเพราะว่าปีนี้ค่อนข้างแล้งหนัก...จึงเป็นที่มาของคำกล่าวหาจากชาวบ้าน ว่าบ้านของเธอนั้นเป็นตระกูลผีกะ

Advertisement

Advertisement

ยายผมบอกว่าไม่มีใครรู้ว่าตำนานผีกะมีที่มาจากไหน แต่โดยปกติ ผีกะจะเป็นประเภทเดียวกับผีปอบ นั่นคือการสิงสู่ร่างของผู้คนเพื่อมีชีวิตอยู่และกินตับไตไส้พุงของคนๆ นั้นจนหมดสิ้น ก่อนจะหาเหยื่อรายต่อไป แต่ในกรณีของบ้านเหมยนั้น ยายเองก็สงสัยตามชาวบ้าน แต่ไม่ได้ปรักปรำว่ายายของเธอเป็นผีกะ ทว่าเป็นการเลี้ยงผีกะ ซึ่ง ณ ที่นี่เรียกว่า “ผีกะตระกูล”

เหตุที่เกิดการกล่าวหานี่ก็เพราะว่าในปีที่น้ำแล้งจนผลผลิตไร่ส้มของชาวบ้านนั้นไม่เจริญเติบโตหรือเรียกได้ว่าแทบขาดทุน แต่นาข้าวของบ้านเหมยกลับเขียวขจี ข้าวตั้งท้องสวย ไม่มีแมลงศัตรูพืชมาก่อนกวน และขายได้ในราคางามจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ผมที่ไม่เดียงสาในตอนนั้นคิดได้เพียงแค่ว่า...ชาวบ้านอิจฉาบ้านของเหมยต่างหาก

บ้านของเหมยรวยอยู่ตั้งแต่ดั้งแต่เดิมแล้ว พ่อกับแม่ของเธอเป็นพระเอกนางเอกลิเก และที่เสียชีวิตนั่นก็เพราะว่าเดินสายทำการแสดงเช่นกัน

Advertisement

Advertisement

ณ เวลานั้น เหมยกลายเป็นตัวประหลาด เพราะเธอถูกเรียกว่า อีหลานผี การบูลลี่พวกนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ผมไม่ได้กลัวเธอ ผมว่าเธอน่ารักและเป็นเพื่อนที่ดี กระทั่งวันหนึ่ง ที่มีหัวหน้าชาวบ้านนั้นมาบุกบ้านของเหมยและจุดไฟเผาศาลาเล็กหน้าบ้าน ถึงอย่างนั้นตากับยายก็ไม่โต้ตอบ แถมยังออกมาขอให้ชาวบ้านกลับไปอย่างสุภาพชนด้วยซ้ำ แต่ยิ่งเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ชาวบ้านก็ยิ่งใส่ความ หาว่ายอมเพราะว่ารับความจริงไม่ได้ แล้วสุดท้าย...คนที่จุดไฟเผาศาลาหน้าบ้านของเหมยก็ตายอย่างสยดสยองในเวลาต่อมา สภาพศพคือถูกควักไส้และมีรอยกัดกินอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ ถึงกับขนาดมีการรวมตัวขับไล่ แต่ท่านๆ ทั้งสองก็ยังคงไม่ขอไปไหน ด้วยเหตุผลที่ว่าแก่แล้ว ขอตายที่นี่ โดยไร้ซึ่งคำตอบของคำถามที่ว่า “เป็นตระกูลผีกะจริงหรือเปล่า ?”

Advertisement

Advertisement

ผมบอกกับตัวเองว่าไม่มีทางกลัวเหมย กระทั่งคนที่มีปัญหากับบ้านของเธอนั้นค่อยๆ ตายไปทีละคนด้วยสภาพที่น่าสยดสยองไม่ต่างกัน นั่นแหละ วินาทีที่ผมกลัวเธอ

“ตั๋วบ่มักเฮาแล้วกา ?” เธอถามผมในวันที่ผมหลบหน้าเธอ เธอถามว่าผมไม่ชอบเธอแล้วเหรอ ?

“เฮาบ่ได้บ่มักตั๋วเก่าหนา เฮากั๋วบ่ดาย” ผมตอบเธอไปว่าไม่ได้ไม่ชอบ แค่กลัวเฉยๆ ผมยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีที่ทำแบบนี้ แต่ในตอนนั้นที่มีข่าวคนตาย ผมเองก็กลัวตาย และเริ่มเชื่อฟังยายที่ห้ามผมไปเล่นกับเธอแล้ว

หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น มีคนตายติดต่อกันสามคนติดๆ วันละคน ชาวบ้านจึงลุกฮือทำตัวเหนือกฎหมายบุกเผาบ้านของเหมย แต่ตำรวจกลับมาห้ามเอาไว้เสียก่อน ภาพที่เห็นและแสนหดหู่คือตายายยืนโอบหลานเอาไว้ ยืนมองผู้คนมากมายก่นด่าสาปแช่งด้วยแววตาที่โศกสันต์

และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอกับเหมย ค่ำวันนั้น เธอมาตะโกนเรียกผมอยู่ที่หน้าบ้าน กอดเสารั้วแล้วโผล่หน้ามามาเพียงเล็กน้อยราวกับแอบมองผม ผมยืนอยู่บนชานบ้าน ไม่กล้าลงไปหาเธอ แม้จะเศร้าเพียงไรก็ตาม

แต่ผมก็ต้องการคำตอบที่ทำให้มั่นใจว่าเธอไม่ใช่ ไม่เพียงแค่ถามผมกลับว่ากลัวเหรอ ไม่ชอบเหรอ ? มันคลุมเครือเกินไป

เธอไม่ได้พูดอะไร แววตาหม่นเศร้าและชืดชาดั่งหมอกเหมยเช่นชื่อเธอนั้นหมองเศร้า เธอโบกมือลาผมสามที ในใจรู้สึกวิวหวิว เหมือนว่ามันคือการบอกลาครั้งสุดท้าย แล้วโศกนาฏกรรมสีเพลิงก็เกิดขึ้นในคืนนั้น

ตากับยายของเหมยเก็บตัวอยู่ในห้อง แล้วจุดไฟ คลอกตัวเองตายอยู่ในนั้นอย่างน่าอนาถ แต่มันเป็นเสมือนงานรื่นเริงของชาวบ้านที่ปรบมือและจุดพลุเฉลิมฉลองที่ครอบครัวผีกะตายไปแล้ว หมอกเหมยถูกญาติพาตัวไปอยู่ด้วย และประกาศขายที่ตรงนั้นในราคาถูกอย่างรวดเร็ว

แววตาสุดท้ายที่ผมเห็นเธอ คือดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตาบนใบหน้าที่หมดสิ้นชีวิตชีวาในรถเก๋งคันหรูที่เคลื่อนผ่านไป...ครั้งนั้นผมร้องไห้และวิ่งตามรถคันนั้นไป อยากเอ่ยคำขอโทษเธออย่างสุดหัวใจ แต่รถคันนั้นคงไม่จอดหรือต้อนรับผมอีกแล้ว

สภาพศพของสองตาตายที่ถูกเผาเกือบทั้งร่าง (เจ้าหน้าที่ดับเพลิงดับไฟทัน แต่ท่านทั้งสองตายแล้ว) หน้าท้องถูกแหวกออกมา อวัยวะภายในกระจัดกระจายและมีร่องรอยการฉีกกัดกระชากอย่างน่ากลัว ค้นภายในห้อง พบเจอหม้อดินปิดผ้ายันต์สองหม้ออยู่บนเพดานห้อง นั่นคือคำตอบของทั้งหมด...ที่ไม่ตอบคำถามหรือคำกล่าวหาก็เพราะว่า บ้านนั้นเลี้ยงผีกะจริงๆ

เวลาผ่านมาจนผมโตขึ้นและได้เรียนรู้รับฟังความเชื่อตำนานต่างๆ ของภาคเหนือ จึงได้คำตอบจากการวิเคราะห์เอาเองว่ามันเริ่มตั้งแต่พ่อและแม่ของเหมย ที่เป็นนักแสดงลิเก ทั้งสองรับเอาผีกะพระผีกะนางมา ตามความเชื่อโบราณผีชนิดนี้ช่วยเรื่องเมตตามหานิยมอย่างมากหากเลี้ยงดูดีๆ (แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดี มันจะไปกินไส้กินพุงคนอื่น รวมทั้งเจ้าของ) เพื่อให้วิญญาณเหล่านั้นทำให้แม่ยกรักและหลง หากแต่สาเหตุบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว คนรับช่วงต่อมาคือตายายลายของเหมยนั่นเอง

ทั้งสองอาจจะเลี้ยงผีกะไม่เป็น หรือเลี้ยงไม่ดีนัก ทว่าเมื่อรับเข้ามาเลี้ยงแล้วก็ฝืนเลี้ยงต่อไป กระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ชาวบ้านกล่าวหา ผีกะเหล่านั้นถูกปองร้าย จึงออกไล่ฆ่าคนที่คิดว่าจะเป็นอันตรายกับตัวเอง ทุกๆ ราย แล้วท้ายที่สุด เมื่อผีกะดีได้ฆ่าคน มันก็จะกลายเป็นอสูรกายแสนเลวร้าย กัดกินแม้กระทั่งผู้เป็นเจ้าของของมันเอง...นั่นคือตาและยาย

สิ่งที่ผมหวาดกลัวและน่าเศร้านั่นคือ หากตายายทั้งสองนั้นอาจยอมสังเวยตัวเองเป็นเหยื่อรายสุดท้าย เพื่อปลดปล่อยวิญญาณผีกะให้เป็นอิสระ ไปเป็นผีกะดงกินกบกินเขียดในป่า ไม่ต้องมาฆ่าใครอีก ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้น ผมคงรู้สึกผิดกับเหมยไม่น้อย เพราะผมเลือกที่จะหวาดกลัวเธออย่างสุดหัวใจในเวลาสุดท้ายก่อนจะจากกัน

ไม่มีคนตายอีกนับจากนั้น...กระทั่งเรื่องผีโพงเริ่มเข้ามาทดแทนเรื่องราว

ปีก่อน ได้มีโอกาสกลับไปร่วมงานวันสงกรานต์...บ้านของเหมยยังคงอยู่ตรงนั้น กลายเป็นบ้านร้างไม่มีใครรับซื้อไป และรอยไหม้บริเวณหน้าต่างห้องแห่งโศกนาฏกรรมนั้นก็ยังคงอยู่

ผมเดินกลับมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ตัวสั่นเทา จมดิ่งกับความทรงจำนั้น หากได้พบเธอสักครั้ง...ผมอยากจะดึงเธอเข้ามากอดแล้วขอโทษเธอด้วยใจของผม...

เธอจะเป็นอย่างไรนะ เหมย


คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์