หากใครเคยประทับใจเรื่องราวความสัมพันธ์ต่างช่วงวัยระหว่าง นพพร และ หม่อมราชวงศ์กีรติ จากนวนิยาย ข้างหลังภาพ ของ ศรีบูรพา และยังจำประโยคหนึ่งของหม่อมราชวงศ์กีรติที่ว่า “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ” จากนวนิยายเรื่องเดียวกันนั้นได้แล้วล่ะก็ เชื่อแน่ว่าคงจะต้องประทับนวนิยาย ช่อมะลิลา ของ แก้วเก้า ด้วยเช่นกัน เพราะในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ช่อมะลิลา ไม่ได้เป็นเพียงนวนิยายเรื่องเยี่ยมในรอบ 10 ปีมานี้เท่านั้น หากแต่ยังเป็นเสมือน ‘ข้างหลังภาพ’ ในภาคส่วนหลังความตายของ ‘หม่อมราชวงศ์หญิงกีรติ’ ก็ไม่ปานช่อมะลิลา ของ แก้วเก้า เป็นนวนิยายแนวพีเรียดดราม่าความยาวเกือบ ๗๐๐ หน้า กล่าวถึงเรื่องราวของ ภูมิไท ข้าราชการวัย ๕๒ ปี ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของหน่วยงานแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้ามารับผิดชอบโครงการบูรณะตึกเก่าเพื่ออนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ หน้าที่ของเขาคือต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ตั้งแต่สร้างตึกใหม่ยันอนุรักษ์ตึกเก่าของเจ้าของที่ดิน ผืนที่กลายมาเป็นที่ตั้งของหน่วยงาน ผมเห็นตึกเก่าหลังนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานเป็นข้าราชการซีสามชั้นผู้น้อย เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้น ตึกใหญ่ทรงยุโรปหลังนี้ คร่ำคร่า กระดำกระด่าง อยู่ในสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม จนไม่มีใครอยากมอง ... เขาลือกันว่าตึกนี้ ยิ่งตกดึกก็ยิ่งน่ากลัว มีอะไรประหลาด ๆ แอบแฝงอยู่ตามแบบตำนานประจำบ้านโบราณทั้งหลาย ขนาดเล่าลือกันว่า อย่าว่าแต่จะเข้าไปตรวจในตึกเลย ต่อให้เดินตรวจรอบ ๆ ไม่มี รปภ. คนไหนอยากทำ (จาก ช่อมะลิลา)นอกจากบรรยากาศอันชวนวังเวงของฉากในท้องเรื่องแล้ว เรื่องราวใน ช่อมะลิลา กลับยิ่งทวีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกเมื่อ ภูมิไท ได้พบสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลเก่า ๆ เล่มหนึ่ง และภาพถ่ายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผู้เคยเป็นเจ้าของตึกหลังนั้น เรื่องราวอดีตในมุมที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อนของ พลเอกเจ้าพระยาเสมามนตรี และคุณหญิงเสมาเมือง จึงค่อยแง้มพรายออกมาทีละน้อย ๆ ผ่านสมุดบันทึกเล่มนั้น และจากปากของ ปิ่นเมือง หรือ คุณหญิงเสมาเมือง อดีตภรรยาของเจ้าคุณเสมามนตรีที่ได้ออกมาปรากฏตัวให้เขาเห็น เพื่อห้ามไม่ให้เขานำภาพและเรื่องราวของเธอไปเผยแพร่รวมเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือประวัติของเจ้าพระยาเสมามนตรี “ฉันไม่ประสงค์ให้คุณเอารูปของฉันพิมพ์ลงในหนังสือ ... ขอให้ประวัติฉันถูกกลบฝังไป ไม่มีใครจดจำได้ จะดีที่สุด” (จาก ช่อมะลิลา)แก้วเก้า ถ่ายทอดเรื่องราวชะตาชีวิตอันน่าเห็นใจของ คุณหญิงเสมาเมือง ออกมานำเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ผ่านการเล่าเรื่องของตัวละครเอกคือ ภูมิไท เอง กล่าวคือให้ ภูมิไท เป็นผู้เล่าเรื่องโดยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ผม ตลอดตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนจบ และให้วิญญาณของ คุณหญิงเสมาเมือง เป็นผู้เล่าเรื่องราวในภาคอดีตของเธอเอง แทรกอยู่เป็นระยะตลอดทั้งเรื่องเรื่องราวของ คุณหญิงเสมาเมือง หรือ ปิ่นเมือง เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอได้แต่งงานกับ พระยาเสมาเมือง ตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ เพื่อไปดูแล ตานก ลูกชายของ พระยาเสมาเมือง กับ จันทร์ พี่สาวของเธอ ในวันที่เธอมีอายุได้เพียง ๒๑ ปี ในขณะที่ พระยาเสมาเมือง มีอายุได้ ๓๘ ปี หลังจากที่ จันทร์ พี่สาวคนโตของเธอ ผู้ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของ พระยาเสมาเมือง ได้ถึงแก่กรรม “ตอนนี้ ... ฉันอายุ ๒๘ ผู้หญิงสาวคงจะอายที่จะบอก แต่หญิงมีเรือนแล้วอย่างฉัน บอกให้รู้ว่าแก่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นผู้ใหญ่สมแก่ฐานะ ... ฉันเป็นน้องสุดท้อง อ่อนกว่าพี่จันทร์ ๑๐ ปีพอดี ... พี่น้องท้องเดียวกันมี ๕ คน พี่จันทร์เป็นพี่คนโต มีพี่ชายคนรองคั่นอยู่อีกคน จึงถึงพี่วันพี่สาวคนรอง เธออายุมากกว่าฉัน ๕ ปีพี่ชายอีกคนหนึ่ง แล้วก็ถึงฉัน... ฉันมีพี่น้องคนละแม่อีก ๓ คน คุณแม่ฉันเป็นคุณหญิงที่สอง คุณหญิงคนแรกเป็นป้าของฉันเอง ท่านถึงแก่กรรมเมื่อลูกคนที่สามยังเล็กมาก คุณปู่คุณย่าจึงสู่ขอคุณแม่ฉันมาเป็นภรรยาของคุณพ่อ เพื่อช่วยเลี้ยงดูหลาน ๆ ... พี่จันทร์อายุสั้น ลูกชายคนเดียวยังเล็ก คุณพ่อคุณแม่ฉันเกรงว่าหลานจะได้แม่เลี้ยงใจร้าย ก็เลยยกฉันให้เจ้าคุณ” (จาก ช่อมะลิลา)หลังจากอยู่กินกันไปได้ ๗ ปี อาถรรพณ์ ๗ ปีของคู่รักก็เข้ามาสร้างความร้าวฉานระหว่าง ปิ่นเมือง กับ พระยาเสมาเมือง เมื่อ พิรัช เพื่อนรุ่นน้องของ ปิ่นเมือง ที่แอบหลงรักปิ่นเมืองมาตั้งแต่วัยเด็ก ได้สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษและกลับมาสนิทสนมกับ ปิ่นเมือง อีกครั้ง “นามเดิมของเขาคือพิรัช...เมื่อเข้ารับราชการ เขาได้เป็นหลวงพิรัชช์เมธี ...พิรัชมีศักดิ์เป็นหลานของเจ้าคุณเสมาเมือง คุณพ่อเขา...เจ้าคุณเดชาไชยเป็นญาติสนิท บ้านเจ้าคุณอยู่ติดกับบ้านของฉัน ... เขาเป็นเพื่อนบ้าน เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ” (จาก ช่อมะลิลา)ด้วยวัยของ พิรัช ที่ใกล้เคียงกับ ปิ่นเมือง มากกว่า พระยาเสมาเมือง ซึ่งมีอายุมากกว่า ปิ่นเมือง ถึง ๑๗ ปี ประกอบกับปัจจัยเสริมต่าง ๆ เช่น การที่แม่ของ พระยาเสมาเมือง พยายามจะ ‘ยัดเยียด’ เด็กในบ้านที่ชื่อ ประกาย ให้เป็นเมียอีกคนหนึ่งของลูกชาย ประกอบกับบุคลิกที่เงียบขรึมปากหนักของ พระยาเสมาเมือง เอง จึงทำให้รอยร้าวระหว่าง ปิ่นเมือง กับ พระยาเสมาเมือง ค่อย ๆ แยกกว้างขึ้น ในทางตรงกันข้ามมันกลับค่อยโน้มความสัมพันธ์ระหว่าง ปิ่นเมือง กับ พิรัช ให้กระชับยิ่งขึ้น ในวันที่ ประกาย ได้ติดตามไปดูแล พระยาเสมาเมือง คราวที่ได้ย้ายไปรับราชการที่เมืองน่านชีวิตการแต่งงานของสองสามีภรรยาต่างวัย คือระหว่าง พระยาเสมาเมือง กับ ปิ่นเมือง จบลงไม่สวยนัก เมื่อ พระยาเสมาเมือง มีความเข้าใจว่า ปิ่นเมือง กับ พิรัช มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเกินกว่าเพื่อน พระยาเสมาเมือง จึงตัดสินใจขอหย่าขาดจาก ปิ่นเมือง ในยุคที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของค่านิยมทางความคิด หากให้ คุณหญิงใจ แม่ของปิ่นเมืองเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกล่ามติดกับไว้แนวคิดอนุรักษ์นิยมแบบเดิมแล้วล่ะก็ ปิ่นเมือง ซึ่งเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่มีการศึกษาในยุคนั้น ก็น่าจะเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ยืนคร่อมอยู่ระหว่างสองวิถีคิด นั่นก็คือระหว่างแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมและแนวคิดแบบหัวสมัยใหม่ ในขณะที่การวางตัวแบบหัวสมัยใหม่ที่เชื่อว่า ‘ผู้หญิงกับผู้ชายสามารถเป็นเพื่อนกันได้’ ของ ปิ่นเมือง เป็นเสน่ห์ที่ทำให้เด็กหนุ่มหัวสมัยใหม่มีการศึกษาอย่าง พิรัช ให้ความสนใจและนิยมชมชอบในตัวเธอ การวางตัวแบบเดียวกันนั้นของ ปิ่นเมือง ก็ทำให้เธอกลายเป็นที่ ‘เขม่น’ ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ยังยึดติดกับแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมเช่นกันโดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความแล้ว ในบรรดาผลงานนวนิยายทั้งหมดภายใต้การสร้างสรรค์ของนามปากกา แก้วเก้า หากนับเอาความเข้มข้นของเรื่องเป็นที่ตั้งแล้วล่ะก็ ช่อมะลิลา น่าจะเป็นนวนิยายที่ ‘ยืนหนึ่ง’ ความเข้มข้นอยู่เหนือนวนิยายทุกเรื่องเลยทีเดียว ตัวละครทุกตัวในเรื่องเป็นตัวละครที่มีมิติ กล่าวคือต่างมีวิธีคิดและมีเหตุผลเป็นของตัวเอง มีความซับซ้อน มีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง ประกอบสร้างขึ้นด้วยอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับคนจริง ๆ ทุกประการแก้วเก้า ปูพื้นตัวละครทุกตัวเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งตัวละครหลักที่ทำหน้าที่เดินเรื่อง และตัวละครรองที่เข้ามาสร้างสีสันแค่เพียงบางบทตอน ในขณะที่เรารู้สึกอึดอัดกับความอึมครึม-ปากหนัก-เจ้าทิฐิของ พระยาเสมาเมือง เราก็เข้าใจเหตุผลว่าเพราะเหตุใด พระยาเสมาเมือง ถึงได้เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยแบบนั้น เหมือนกับที่เราเข้าใจในแต่ละการกระทำของ คุณหญิงเสมาเมือง และการแสดงออกในเชิงพฤติกรรมของ พิรัช เข้าใจว่าเหตุใด คุณหญิงเสมาเมือง ถึงไม่ยอมหนีไปกับ พิรัช ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดผู้ชายเปิ๊ดสะก๊าด-หัวสมัยใหม่วัยหนุ่มอย่าง พิรัช ถึงได้แสดงออกต่อ คุณหญิงเสมาเมือง ทั้งในทางหลงใหล และ โลเล เหมือนกับที่ นพพร เองก็เคย ‘ทำ’ กับ หม่อมราชวงศ์หญิงกีรติ มาแล้ว ในนวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพแม้ว่าการตัดสินใจและการกระทำของหลายตัวละครในนิยายเรื่องนี้จะบีบเค้นสร้างความหนักหน่วงให้กับหัวใจ แต่เราก็ยินดีที่จะอ่านต่อไปจนจบด้วยต้องการทราบจุดจบ-จุดคลี่คลายพฤติกรรมที่ตัวละครแต่ละตัวจะได้รับในบั้นปลาย โดยเฉพาะตัวละครเดินเรื่องหลักทั้ง ๓ ตัว คือ พระยาเสมาเมือง ปิ่นเมือง และ พิรัชปิ่นเมือง ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังสาวในช่วงสงครามโลก พร้อมกับความรู้สึกผิดและเสียงก่นแช่งของ พระยาเสมาเมือง ผู้เป็นอดีตสามี ในขณะที่ พระยาเสมาเมือง ได้พยายามหนีความทรงจำทั้งมวลด้วยการออกไปรับราชการที่เมืองน่าน จนกระทั่งก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต พระยาเสมาเมือง จึงคิดได้และให้อภัยแก่ทุกการกระทำของ ปิ่นเมือง โดยที่เธอไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ “เจ้าคุณเกลียดชังฉัน ฉันรู้ดี” “ไม่ใช่ครับ ท่านรักคุณหญิงต่างหาก เป็นความรักที่ท่านไม่อาจลืม หรือทำใจให้เลิกคิดถึงได้” “คุณพูดอะไร” “ผมพูดความจริง ผมอ่านพบจากบันทึกของท่าน คุณหญิงฟังนะครับ ผมจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น — ‘...ฉันย้ายมาอยู่น่านได้ ๑๑ ปีแล้ว นานเหมือนสักศตวรรษหนึ่งก็ไม่ปาน ฉันรับฟังข่าวคราวจากพระนครด้วยใจเฉยเมย เหมือนฟังข่าวจากบ้านเมืองอื่น ไม่ใช่บ้านเมืองฉัน ... สยามเปลี่ยนชื่อเป็นไทย กำลังตกอยู่ในสงคราม ญี่ปุ่นไม่ได้กรีธาทัพมาทางน่าน เมืองเล็ก ๆ ยังคงเหมือนเดิม ผิดกับในพระนครที่ได้ข่าวว่าวุ่นวายสารพัน ... อนิจจา แม่ปิ่น หล่อนตายไปเสียแล้ว ฉันทำทุกอย่างแล้วที่จะไม่นึกถึงหล่อน เพลงทุกเพลงที่เคยเล่นให้หล่อนฟัง ฉันห้ามขาดมิให้ใครเล่นให้ได้ยิน บ้านนี้จะมีเสียงซอ หรือระนาด หรืออะไรไม่ได้เป็นอันขาด ฉันขออยู่กับความเงียบอย่างเดียว...’ ท่านอยากพบคุณหญิงแน่นอน ไม่งั้นท่านจะเขียนไว้ทำไม ว่า ‘หากชาติหน้า เราได้พบกันอีก ถึงไม่มีโอกาสครองคู่กัน ขอให้พี่ได้แก้ตัวในความผิดอันพี่กระทำต่อเธอด้วยเถิด’ ...” “ฉันไม่ทราบจริง ๆ ... บอกได้แต่ว่า ฉันเห็นคุณมาตั้งแต่คุณยังไม่เห็นฉัน ครั้งแรกฉันเกือบจะทักออกไปเสียแล้ว นึกว่าเจ้าคุณกลับมาอีกครั้ง” “อย่างนั้นเชียวหรือครับ ผมเหมือนเจ้าคุณมากหรือ” “หน้าตาคุณไม่เหมือนท่านหรอก...อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่ขึ้นกับเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ถ้าจะพยายามอธิบาย ก็อาจจะบอกว่า เราต่างก็เวียนว่ายตายเกิดในห้วงสมุทรแห่งวัฏสงสารมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อาจมีบางชาติ คุณกับฉันเคยได้เจอกัน ผูกพันกัน แล้วก็แยกจากกัน ไปสู่ชาติอื่นภพอื่น มีคู่ครองอื่นหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาตามบุญและกรรมอันได้กระทำร่วมกัน เราไม่อาจจำกันและกันได้ ฉันจึงบอกไม่ได้ว่าคุณคือเจ้าคุณของฉันในอดีตชาติ คุณอาจเป็นท่าน หรือคุณเคยเป็นพิรัช หรือแม้แต่เป็นคนอื่น อย่างไรก็ตาม จะเป็นหรือไม่เป็น ก็ไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญนัก...สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณเป็นมิตรอันประเสริฐ ... ตราบใดที่ฉันยังรำลึกถึงความดีของคุณ ส่วนคุณก็ยังผูกพันในตัวฉันอยู่ ก็จะไม่มีคำว่า ‘อำลา’ ระหว่างเราสองคน” “คุณหญิงจะมาเยี่ยมเยือนผมได้บ่อยแค่ไหน?” “ตามเวลา และโอกาสที่ฉันจะมาได้ ... แม้มิตรภาพดีที่สุด ก็ยังต้องยกเว้นให้แต่ละฝ่ายได้มีเวลาว่างของตัวเอง” (จาก ช่อมะลิลา)เรื่องราวระหว่าง พระยาเสมาเมือง พิรัช ปิ่นเมือง และ ภูมิไท เป็นปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางช่องว่างของช่วงวัย ยุคสมัย และภพภูมิ เมื่อช่องว่างระหว่างวัยถ่างความสัมพันธ์ของสามีภรรยา แนวคิดของคนที่ ‘เติบโต’ มาต่างยุคสมัยกันถ่างความเข้าใจระหว่างกัน และภพภูมิเป็นกำแพงถ่างกั้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สิ่งที่เกิดขึ้นผิดที่ผิดเวลาจึงอาจกลายเป็น ‘อุบัติเหตุ’ ได้เสมอ ทั้งในช่วงที่มีชีวิตอยู่ หรือหลังจากสูญสิ้นชีวิตไปแล้วสำหรับ ช่อมะลิลา ในการนำเสนอผ่านรูปแบบละครโทรทัศน์นั้น เคยมีข่าววางตัวนักแสดงนำชายไว้แล้ว ๒ คน นั่นก็คือ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี และ สน-ยุกต์ ส่งไพศาล โดยผู้จัดละครคนเก่ง วรายุฑ มิลินทจินดา ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ ซึ่งแฟนละครก็ต้องรอติดตามข่าวกันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะเคยมีบทประพันธ์ชั้นครูหลายเรื่อง-ดาราชั้นนำอยู่หลายคนเหมือนกัน ที่เคยถูก ‘จับจอง’ เอาไว้กับทางสถานีฯ ในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น เกาะแก้วกรุงอินทร์ ชายแพศยา เล่ห์ลุนตยา เวียงกุมกาม เป็นต้น แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ ตัวละครเหล่านั้นก็ยังคงได้โลดแล่นอยู่แค่เพียงในนิยายขอบคุณรูปภาพ PIC 1-3 : ภาพโดยผู้เขียน / PIC 4 : BEC Tero / PIC 5 : Ch3Thailand