สำหรับหลายคน สาละวิน อาจเป็นเพียงแม่น้ำธรรมดาเหมือนอื่น ๆ แต่สำหรับหลายชีวิตที่ใช้ลมหายใจใกล้ชิดจะรู้ได้ทันทีว่านี่คือ “เส้นเลือดใหญ่” ของพวกเขา นับตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงจุดสิ้นสุดที่ประจบลงแหล่งน้ำที่ใหญ่กว่า สาละวินหล่อเลี้ยงชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติตลอดสองข้างทางที่ไหลผ่าน โดยช่วงหนึ่งของแม่น้ำสายนี้ติดกับตะเข็บชายแดนไทยบนพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทยและพม่า และบริเวณนี้นี่เองที่มีตาสีตาสาเด็กเล็กเด็กน้อย อาศัยอยู่ตามริมฝั่งจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจากรัฐก่อทูเลในประเทศพม่า ตามหลักการในเอกสารแล้วชาติพันธุ์กลุ่มนี้ เป็นพลเมืองของพม่าที่รัฐบาลพม่าต้องดูแลรับผิดชอบ แต่เป็นเพราะความโลภและความผิดพลาดของผู้นำที่ไม่ยอมหย่อนให้อิสรภาพในการปกครองตัวเอง คนกลุ่มนี้จึงต้องลุกขึ้นสู้เรียกร้องความเป็นธรรม นำไปสู่การสู้รบทำสงคราม ส่งผลให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องหนีลี้ภัยเพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอด ซึ่งสาละวินเป็นหนึ่งในเป้าหมายของหลายคน เพราะติดชายแดนหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถข้ามไปอีกฝั่งเพื่อหลบภัยชั่วคราวได้ สาละวินให้ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ไม่เพียงแค่กับผู้หลบภัยแต่ยังรวมถึงชาวไทยคนชายขอบที่กินอยู่กับป่าตามตะเข็บชายแดนด้วย ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มนี้โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นญาติกัน ไปมาหาสู่กันตลอดโดยใช้การเดินเรือผ่านลำน้ำเป็นเส้นทางหลัก ชีวิตริมฝั่งหลายชีวิตกินอยู่กับป่ากับแม่น้ำสาละวิน โดยการปลูกผัก จับปลา เก็บของป่าขายแลกเงินซื้อข้าวประทังชีวิต ส่วนคนที่พอมีฐานะก็ค้าขายเดินเรือล่องตามลำน้ำสาละวินโดยรับสินค้าจากบ้านแม่สามแลบของไทยไปขายเป็นหลัก ที่กล่าวมาข้างต้น คือ สาละวินที่ฉันเคยเห็นเมื่อครั้งที่ไปเยือนสามเดือนที่แล้ว แต่วันนี้ที่โควิด 19 เข้ามาทำให้การเดินทางการเดินเรือทุกอย่างถูกระงับ เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนจึงบังเกิด ชีวิตริมฝั่งจะกลับบ้านเกิดถิ่นเดิมก็ไม่ได้ เพราะศัตรูฝั่งตรงข้ามครอบครองไปแล้ว อยู่ที่เดิมก็เหมือนจะไม่ไหว เพราะไม่มีเรือผ่านไปมาให้ซื้อข้าวของกินหล่อเลี้ยงชีวิต ที่นี่ไม่มีใครกลัวตายเพราะโควิด แต่ทุกคนกลัวอดข้าวตาย และกลัวแหลกสลายเพราะกับระเบิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันขอให้ทุกลมหายใจผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้อย่างปลอดภัย ขอให้ทางการเห็นใจผ่อนปรนการขนส่งสินค้า และขอให้ทุกชีวิตกลับมาสดใสโดยเร็ว ภาพทั้งหมดโดย : ณิชาธาร