ถึงโควิดจะบีบบังคับให้รัฐบาลสั่งเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ออกไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเจ้าไวรัสตัวร้ายก็ไม่สามารถที่จะห้ามดิน ฟ้า อากาศ ธรรมชาติ และฤดูกาลได้ เมื่อห้วงเวลาแห่งสงกรานต์ผ่านพ้น ปรอทวัดอุณหภูมิโหมอากาศร้อนอบอ้าวจนได้ที่ ฝนแรกจากพายุฤดูร้อนหลังสงกรานต์ก็โถมกระหน่ำ เพื่อเป็นเสียงสัญญาณเรียกให้สิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ผุดขึ้นมาจากพื้นผิวโลก! อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับ บทความนี้ไม่ใช่บทความรีวิวหนังแนวเอเลี่ยนบุกโลก แต่เป็นบทความแนะนำแหล่งโปรตีนในอาหารเมนูใหม่ ที่รับรองได้เลยว่าอร่อยจนคนทำขอเก็บเอาไว้กินเอง ไม่ยอมขายให้ใครกันเลยทีเดียว ซึ่งวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการประกอบเมนูดังกล่าว ก็คือเจ้าสิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้นั่นเอง ... สำหรับคนทางท้องถิ่นภาคเหนือ สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นมีชื่อเรียกว่า “แมงมัน” ครับ พอน้ำท่วมรู อีหนูก็เสร็จ แมงมันจัดเป็นมดชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับมดแดง แต่จะมีสีแดงเข้มจนเกือบดำและตัวใหญ่กว่า พวกมันชอบอาศัยอยู่ใต้พื้นดินซึ่งเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ชอบดินแข็งโดยเฉพาะดินเหนียวกับดินร่วนเหนียว ในความลึกมากกว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป อีกทั้งยังชอบอยู่ใกล้รากไม้ใหญ่ ๆ คล้ายกับพวกปลวก แต่จะไม่ก่อดินหรือพูนดินให้สูงขึ้นเหมือนกับปลวก พวก(แมง)มันมักจะออกมาจากใต้พื้นดินหรือโพรงที่มันอาศัยอยู่เพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น โดยมากก็มักจะออกมาตอนต้นฤดูฝน หรือเมื่อได้รับสัญญาณฝนแรกหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ผ่านพ้น เพราะน้ำฝนได้ท่วมเข้าไปในโพรงของพวกมัน โดยที่น้องหนูแมงมันทั้งหลายอาจไม่รู้ตัวเลยว่าจะต้องเจอกับนักล่าในระดับชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารในทันที เมื่อน้องหนูแมงมันเหล่านั้นพากันกรูออกมาจากใต้พื้นดิน สมัยก่อนในยุคที่คนทางเหนือยังนิยมสร้างบ้านด้วยไม้ ชาวบ้านในแถบชนบททางภาคเหนือจะ‘เก็บ’แมงมันในช่วงเวลากลางคืน ในขณะที่พวกมันพากันบินออกมาจากโพรงใต้ดินเพื่อขึ้นมาตอมแสงสว่างจากหลอดไฟ บางคนก็ใช้มือเก็บทีละตัวใส่ขวดหรือภาชนะไว้ แต่บางคนก็อาศัยกับดักแบบเรียบง่ายจากภูมิปัญญา นั่นก็คือการเอาน้ำใส่ถังหรือกะละมังไปรองไว้ใต้หลอดไฟ ให้พวก(แมง)มันตกลงไปในถังน้ำ แล้วรอเก็บพร้อมกันเลยทีเดียว เปลี่ยน “การรอ” ให้เป็น “การล่า” พอยุคสมัยเปลี่ยนไป การออกแบบบ้านเรือนก็เปลี่ยนไป เมื่อผู้คนหันมาปลูกบ้านโดยใช้ปูนซีเมนต์ เน้นความเป็นส่วนตัวมิดชิดติดเครื่องปรับอากาศกันอย่างทุกวันนี้ แมงมันก็ไม่สามารถที่จะบินเข้ามาตอมหลอดไฟภายในบ้านได้อีกแล้ว ‘การรอเก็บ’แมงมันอยู่ภายในบ้านในตัวเรือน จึงเปลี่ยนมาเป็น‘การล่า’ในระยะประชิดจนถึงปากโพรงของพวกมันกันเลยทีเดียว บางคนก็ไปนั่งรอดักจับแมงมันที่หน้าโพรง หรือบางคนก็ถึงขั้นลงทุนขุดโพรงดินกันลงไปเลยก็มี อาจเป็นเพราะว่าแมงมันเป็นอาหารหายาก อีกทั้งยังมีให้ได้ลิ้มรสโอชะเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น จึงถือว่าเป็นอาหารชั้นเลิศที่มีราคาแพง ความหายากที่ว่าได้ส่งผลให้พวก(แมง)มันมีราคาจำหน่ายสูงถึงกิโลกรัมละ 1,000 – 3,000 บาทกันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำคนที่เก็บแมงมันได้ ก็มักจะไม่ยอมนำออกมาขายเสียด้วย เพราะโดยมากมักจะเก็บเอาไว้รับประทานเอง หรือนำไปให้ญาติสนิทมิตรรักกันเสียมากกว่า “แมงมัน” กับเมนูแนะนำ อันที่จริง “แมงมัน” สามารถนำไปประกอบเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนู บางคนก็นำเอาไปคั่วและตำน้ำพริก เรียกกันว่า“น้ำพริกแมงมัน” บ้างก็นำไปทำเป็นหลู้ ที่เรียกว่า“แมงมันจ่อม”หรือ“หลู้ใข่แมงมัน” รับประทานกับยอดสะเดา บ้างก็นำไปทอดใส่ไข่แทนกุ้งฝอย แต่ส่วนมากมักนิยมนำไปคั่วหรือทอดในน้ำมันให้กรอบ ใช้เป็นเครื่องเคียง กับแกล้ม หรืออาหารรับประทานเล่นเสียมากกว่า สำหรับไข่อ่อนของแมงมันที่อยู่ใต้ดินนั้น ก็สามารถนำไปทำเป็นเมนูอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตุ๋นไข่ใส่แมงมัน ผัดผักแมงมัน ยำไข่แมงมัน แกงผักหวานป่ากับไข่แมงมัน ดองไข่แมงมัน จ่อมไข่แมงมัน เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเมนูที่ถึงขีดสุดของรสชาติความอร่อยและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการทั้งสิ้น เชื่อกันว่าแมงมันเป็นอาหารสมุนไพรบำรุงร่างกายที่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดี ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยถูกปากแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างกำลังวังชาทำให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย เพราะถือว่าเป็นอาหารที่ได้มาจากธรรมชาติแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในแง่ของทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันแมงมันกำลังอยู่ในช่วงของการศึกษาเพื่อเพาะเลี้ยง ถือเป็นการเริ่มต้นองค์ความรู้ใหม่ที่จะนำไปสู่แนวทางการเพาะเลี้ยงแมงมันเพื่อเป็นอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรในอนาคต ซึ่งไม่แน่... ในวันหนึ่งพวก(แมง)มันอาจจะกลายมาเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของบ้านเราก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ภาพประกอบโดย ผู้เขียน