โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนับเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ใครหลาย ๆ คนต้องมีติดตัวและใช้กันอยู่เป็นประจำทุกวัน หลายคนติดมือถือ ติดโซเชียล เรียกได้ว่าไม่มีวันไหนที่จะไม่หยิบขึันมาดูแล้วใช้เวลาไถหน้าจอไปเรื่อย ๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วคนไทยจะใช้เวลาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตโดยเฉลี่ยถึงวันละ 8 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่ใช้งานมากที่สุดจะมีอายุระหว่าง 13 - 25 ปี หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่าวัยรุ่นในกลุ่ม " Gen Z " ซึ่งการจ้องอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนนาน ๆ จะส่งผลเสียต่อดวงตาของเราแน่นอน และอันตรายที่แฝงอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารเหล่านี้ก็คือแสงสีฟ้า (Blue light) มีชื่อเต็มว่า High Energy Visible Light (HEV) แสงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่คุณใช้อยู่นั่นเอง ภาพจาก : www.pexels.com แสงที่เราเห็นบนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต หรือบนจอคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นเป็นสีขาวอยู่แล้วใช่ไหมครับ ในความเป็นจริงแสงบนหน้าจอสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะอยู่ในโหมด สี RGB "R" คือสีแดง "G" สีเขียว "B" สีน้ำเงิน แต่แสงสีที่เรากลัวและเป็นกังวลมากที่สุดคือแสงสีฟ้าน้ำเงิน ด้วยธรรมชาติของดวงตาเราจะสามารถกรองแสงสีฟ้านี้ได้อยู่แล้ว และถ้าสมมุติว่าดวงตาเรามีสีเข้มโดยเฉพาะดวงตาคนเอเชียมีสีเข้มดำ จะสามารถกรองแสงได้ดีกว่าดวงตาสีฟ้าหรือสีน้ำข้าว เพราะฉะนั้นความเสี่ยงที่แสงสีฟ้าจะมาทำลายจอประสาทตาเรา ก็จะน้อยกว่าคนที่มีดวงตาสีอ่อนกว่า แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราสัมผัสมันอยู่ตลอดเวลามันก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อดวงตาของเรามากขึ้นได้อยู่ดี ภาพจาก : www.pexels.com ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้ชีวิตประจำวันของเราจะต้องเจอกับแสงสีฟ้าอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ยกเว้นตอนนอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นแสงสีฟ้าจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาว หรือแสงจากหลอดไฟ LED ก็มีแสงสีฟ้าแฝงอยู่เช่นกัน แต่มีปริมาณน้อยกว่าแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน จะสังเกตุได้ว่ารอบ ๆ ตัวเราล้วนแล้วแต่มีแสงสีฟ้าอยู่ทั้งนั้น ซึ่งอันตรายจากแสงสีฟ้านี้หลัก ๆ เลยก็คือจะทำลายจอประสาทตาของเรา ถ้าได้จ้องมองสะสมเป็นระยะเวลานาน จะทำให้จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ นาน ๆ ไปอาจทำให้ตาบอดหรือเกิดต้อกระจกในดวงตาได้ นอกจากนี้ยังทำให้มีปัญหาเรื่องความจำทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมหรือโรคอ้วนได้ และยิ่งไปกว่านั้นการเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในที่มืดหรือที่มีแสงน้อยเกินความจำเป็น ก็ยิ่งมีโอกาสทำให้ให้เกิดโรคต่าง ๆ มากขึ้น และส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นก็ควรใช้เท่าที่จำเป็นในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ภาพจาก : www.pexels.com ในปัจุปันมีวัสดุที่เป็นฟิลม์กรองแสงสีฟ้าแบรนด์ต่างๆออกมาจำหน่ายมากมาย ก็สามารลดแสงสีฟ้าจากจอได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องดูด้วยว่าฟิลม์กรองแสงเหล่านั้นผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ หรือบางคนอาจจะใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้าใส่ขณะทำงานกับหน้าจอก็สามารถช่วยลดแสงสีฟ้าได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามการจ้องอยู่หน้าจอนาน ๆ ย่อมไม่ดีกับดวงตายิ่งถ้าเป็นดวงตาของเด็ก ๆ ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ อย่างบางครอบครัวที่มีลูกยังเล็ก ๆ ก็หยิบยื่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนให้ลูกน้อย "อ้าว!..ลูกดูการ์ตูนนะ" ดูคลิปโน้นนี้หลอกเด็กไม่ให้งอแง้ จนบางทีเด็กติดโทรศัพท์ห่างไม่ได้เลย แถมยังส่งผลทำให้เด็กสมาธิสั้นและมีผลเสียต่อสายตาของเด็กอีกด้วย ภาพจาก : unsplash.com แนวทางป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของดวงตาจากการจ้องมองแสงสีฟ้าก็คือ 1) ไม่ควรใช้สมาร์ทโฟนแท็บเล็ตในที่มืด เพราะยิ่งมืดม่านตาของเราจะขยายเปิดรับแสงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้รับแสงสีฟ้าโดยตรงแบบเต็ม ๆ ควรใช้ให้น้อยหรือปรับแสงหน้าจอให้น้อยลง โดยส่วนตัวผมแล้วจะใช้แอพพลิเคชั่นช่วยลดแสงหน้าจอเป็นชั้นที่สองจากที่ลดจากหน้าจอ หรือถ้ามีแว่นตากรองแสงสีฟ้าก็ควรใส่ป้องกัน และควรเปิดไฟหรือไปใช้ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ 2) ถ้าดวงตาเราล้ามีความรู้สึกเหมือนง่วงนอน จากการจ้องนาน ๆ แล้วจนต้องหลี่ตาลง มีความรูสึกแสบตาระคายเคืองตา ตาแห้ง ปวดตา น้ำตาไหลให้รีบพักสายตาจากหน้าจอทันที และควรจะหยุดพักสายตาประมาณ 15 นาที หรือกระพริบตาถี่ ๆ นาทีละ 20 - 22 ครั้ง เพื่อให้มีน้ำตามาเคลือบที่กระจกตา ทำทุก ๆ 15 - 20 นาที ถ้ามีน้ำตาเทียมก็สามารถหยอดช่วยได้แต่ต้องหยอดตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือจะใช้วิธีนอนหลับตาพักสายตาจนกว่าอาการจะดีขึ้นก็ได้ 3) รับประทานผักผลไม้ที่มี "ลูทีน" และ "วิตามินเอ" เพื่อบำรุงจอประสาทตา ซึ่งพบมากในผักผลไม้ต่างๆ เช่น ฟักทอง ข้าวโพด ถั่วเขียว ผักโขม บร็อคโคลี่ แครอท ผักคะน้า ไข่แดง ตับ ไก่ หรือหาอาหารเสริมบำรุงสายตาที่มีส่วนผสมของลูทีน และเบต้าแคโรทีน หรือวิตามินเอ มารับประทานก็ได้ ซึ่งประโยชน์ในส่วนของลูทีนนั้นจะทำหน้าที่เคลือบจอประสาทตาให้สามารถป้องกันแสงสีฟ้าจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ 4) ไม่ควรเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตก่อนนอน แสงสีฟ้ามีผลต่อสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ควบคุมการนอนหลับและการตื่นของเรา ถ้าเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นเวลานานจะส่งผลให้เราเกิดอาการนอนไม่หลับ หากพักผ่อนไม่เพียงพอก็อาจจะทำให้ปวดหัว ปวดไมเกรน ทำให้ร่างกายอ่อนล้าไม่มีเรี่ยวแรง สมองสั่งงานช้า ง่วงนอนได้ทั้งวัน ควรเว้นระยะการเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนประมาณ 1-2 ชั่วโมง และบางคนตื่นขึ้นมากลางดึกก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ขอให้เลิกพฤติกรรมนี้เสีย เพื่อเป็นการเลี่ยงการเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ รวมถึงโรคนอนไม่หลับด้วย ภาพจาก : www.pexels.com ภาพจาก : unsplash.com อย่างไรก็ตามเราก็ควรแบ่งเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ เหล่านี้ให้เป็นเวลาที่แน่นอน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ไม่ควรทิ้งให้ใช้เพียงลำพัง หรือใช้เป็นระยะเวลานานจนเกินไป และควรใช้อย่างระมัดระวังด้วย ซึ่งตัวเราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในปัจจุบัน เป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายเราไปแล้ว กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถตัดขาดจากกันได้ แต่เราก็เลือกเวลาที่จะใช้ประโยชน์จากมัน และควบคุมการใช้งานด้วยตนเองได้ บทความโดย : กัมบี้บ๊อกซ์