เจาะน้ำคร่ำเพื่ออะไร ? ขอบคุณภาพจาก : ellepigrafica / Shutterstock การที่จะตรวจน้ำคร่ำเป็นการวินิจฉัยก่อนคลอด พ่อแม่ทุกคนย่อมหวังว่าบุตรของเราคลอดออกนั้น จะสมบูรณ์และแข็งแรง การฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจอัลตร้าซาวด์ทารกในครรภ์จะช่วยให้แพทย์สามารถค้นพบและแก้ไขภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากความผิดปกติเกิดขึ้นจากหน่วยพันธุกรรม หรือแพทย์เรียก "โครโมโซม" ของเด็ก การฝากครรภ์และการอัลตร้าซาวด์ ก็จะตรวจไม่พบความผิดปกติได้ การเจาะตรวจน้ำคร่ำเพื่อตรวจความผิดปกติก่อนคลอดนั้น เป็นการตรวจเพื่อหาความผิดปกติของ "โครโมโซม' ของทารกในครรภ์ เช่น โรคดาวซินโดมซึ่งทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิด และ เชาวน์ปัญญาต่ำ มีพัฒนาการช้า กว่าเด็กปกติทั่วๆ ไป เราจะทราบได้อย่างไหร่ ว่าเราควรที่จะต้องเจาะน้ำคร่ำตรวจหาความผิดปกติในการตั้งครรถ์ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปจนถึงกำหนดคลอด ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่ลูกของท่านจะมีโอกาสเป็นกลุ่ม "ดาวซินโดม" มากกว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ช่วงอายุน้อยกว่านี้ อายุครรถ์ ต้องประมาณ 16-20 สัปดาห์ ( 4 เดือน ) แต่ถ้าหากอายุครรภ์น้อยกว่านี้การเพาะเซลล์มักจะล้มเหลว เคยคลอดลูกที่เป็นกลุ่มอาการ "ดาวน์ซินโดรม" เพราะว่ามีโอกาสเกิดซ้ำได้ในครรภ์ต่อมา เคยคลอดทารกพิการแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะว่ามีโอกาสเกิดซ้ำได้ ในขั้นต่อมาถ้าสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม มีประวัติโรคทางพันธุกรรมในครอบครัวเพราะอาจถ่ายทอดความผิดปกติจากพ่อแม่ถึงบุตรหลานได้ เมื่อเจาะแล้วจะมีผลอะไรกับเราหรือเด็กในครรภ์หรือไม่ จริงๆ แล้วการเจาะตรวจน้ำคร่ำ มีโอกาสเกิดขึ้นเล็กน้อยมากๆ เช่นถุงน้ำคร่ำรั่วติดเชื้อ เกิดอันตรายต่อทารก 0.1 % ส่วนมากเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงถึง 48 หลังเจาะตรวจไปแล้ว และการแท้งบุตรจากการเจาะน้ำคร่ำก็มีโอกาศเกิดขึ้นได้ 0.3 - 0.5% ส่วนมาารดาก็พบว่ามีโอกาศเลือดออกทางช่องคลอดเกิดขึ้นได้ 2% แต่อย่างไรก็ตามขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเซลล์มีความซับซ้อนมาก จึงมีโอกาสที่จะล้มเหลวเหลวได้บ้าง ถ้าเกิดความล้มเหลวเหลวขึ้นจะต้องทำการเจาะตรวจซ้ำอีกครั้ง การปฏิบัติภายหลังจากการตรวจเรียบร้อยแล้ว นั่งพัก 30 นาทีหลังการเจาะตรวจน้ำคร่าไม่พบอาการผิดปกติก็กลับบ้านได้ ห้ามอาบน้ำภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการเจาะตรวจน้ำคร่ำ ถ้าปวดที่บริเวณแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ เลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณหน้าท้อง เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ เลี่ยงการเดินทางไกล 2-3 วัน ถ้าพบอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด น้ำเดิน มีไข้ หรือ ปวดท้องมากให้รีบไปพบแพทย์ทันที กลุ่มอาการดาวน์เป็นความผิดปกติทาง "โครโมโซม" ที่พบเห็นบ่อยที่สุด เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในกลุ่มของโรคพันธุกรรมที่ทำให้ สติปัญญามีน้อย เชาวน์ปัญญาต่ำ มีพัฒนาการช้า มีหัวใจและต่อมโดยที่ผู้ป่วยจะมี IQ เฉลี่ย 25-50 (ต่ำมาก-ปานกลาง) มีลักษณะหัวค่อนข้างเล็กแบน ตาเฉี่ยวขึ้น จมูกแบน ปากและลิ้น มักจะยื่นออกมา นอกจากนี้มีความผิดปกติอื่นร่วมด้วยที่พบบ่อยได้แก่ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ทางเดินอาหารอุดตัน การทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ต้อกระจกตา เป็นต้น ขอบคุณภาพจาก : medhubnews