เมื่อย่างก้าวเข้าช่วงกลางฤดูหนาวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคม หลายคนคงจะออกเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวตามพื้นที่ภูเขาป่าดอยทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่นอกจากจะมีความงดงามตามธรรมชาติแล้วนั้นยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี ที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง อำเภอเวียงแหง นอกจากจะเป็นอาณาบริเวณสุดท้ายปลายสุดด้านชายแดนของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าไปสัมผัสแล้วนั้น ยังเป็นพื้นที่หนึ่งที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชนชาติพันธุ์อันหลากหลาย ซึ่งกลุ่มที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของพื้นที่แถบย่านบ้านเมืองนี้ คือ “ชนชาวไต” หรือที่รู้จักกันในนาม “ชาวไทใหญ่” พี่น้องที่มีสายชาติพันธุ์ร่วมกับชาวไทยในภาคเหนือมาเนิ่นนาน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้แน่นอนครับ ผมจะพาทุกคนไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ บนเส้นทางของชุมชนคนไตในอำเภอเวียงแหง ณ “บ้านเปียงหลวง” เมืองงามชายแดนไทย-เมียนมาร์ การเดินทางไป ณ "บ้านเปียงหลวง" นั้น แน่นอนว่าช่วงเวลาที่น่าประทับใจในการไปเยี่ยมเยียนควรเป็นในช่วงฤดูหนาว แต่การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินทางไปถึงในช่วง วันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 เพราะนอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติป่าเขาและความหนาวเหน็บแล้วนั้น ก็จะได้สัมผัสวัฒนธรรมประเพณีหนึ่งที่สนุกสนาน สร้างความคึกคัก และปรารถนาในบุญของผู้คนชาวไตเพื่อหนุนนำชีวิตให้มีความสุขในปีถัดไป ด้วยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านของเวลาไปสู่ปีข้างหน้าตามจันทรคติ นั่นคือ “ประเพณีปีใหม่ไต” การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่มา ณ "บ้านเปียงหลวง" นั้นรวมระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 3 ชั่วโมง โดยเริ่มต้นจากเส้นทางถนนหมายเลข 107 มุ่งสู่อำเภอเชียงดาว เมื่อถึงแยกเมืองงายให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1178 เมื่อถึงบริเวณด่านตรวจบ้านแม่จา ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1322 มุ่งสู่อำเภอเวียงแหง เมื่อผ่านตัวอำเภอเวียงแหงให้ตรงไปตามเส้นทางเดิมนี้อีกราว 20 กิโลเมตร ก็จึงยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อถึงยังเขตชุมชนบ้านเปียงหลวงก็จะมีรีสอร์ทที่พัก หลากหลายสไตล์ให้เลือกพักผ่อน ทั้งย่านชานชุมชน และภายในชุมชน โดยผมเลือกที่จะพักภายในใจกลางชุมชน ซึ่งง่ายต่อการเดินออกมาเที่ยวสังสรรค์งานประเพณีปีใหม่ไตในยามค่ำคืน ณ "เฮือนหมอกคำรีสอร์ท" ค่ำคืนนี้ ใจกลางพื้นที่บ้านเปียงหลวง ณ วัดเปียงหลวง ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ พื้นที่ภายในวัดมีการจัดแบ่งเป็นโซนให้ได้เลือกเดินท่องเที่ยวได้หลากหลาย หนุ่มสาวชาวไทใหญ่ ต่างเดินเกาะกลุ่มมาร่วมสังสรรค์กันตามประเพณี บ้างสวมใส่เสื้อผ้าตามสมัยนิยม บ้างก็สวมใส่ตามวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ดูสวยงามแปลกตา ส่วนตัวผมเลือกที่จะไปนมัสการพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวบนศาลาวัดที่เป็นศิลปะไทใหญ่ที่งดงามมากทีเดียว เวลาเกือบเที่ยงคืนสัญญาณบอกว่าปีใหม่ตามประเพณีของชาวไทใหญ่ก็ดังขึ้น พลุนับสิบลูกถูกจุดขึ้นบนท้องฟ้า บ่งบอกถึงกาลเวลาได้เดินทางผ่านข้ามปีแล้ว เช้าวันใหม่ สัมผัสอากาศยามเช้าท่ามกลางหมอกขาวที่ลงจัดจนมืดมิด ไอหนาวที่ทำให้สั่นสะท้านพอให้มีควันพวยพุ่งเมื่อกล่าวตอบรับคำทักทายจากผู้คนที่เป็นมิตรที่กำลังจะเดินทางไปทำบุญในเช้าวันนี้ซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวไทใหญ่ ขณะที่บางกลุ่มที่ไม่ได้ไปวัดเช้านี้ก็จะขะมักเขม้นออกไปทำงานกันแต่เช้าตรู่ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยในวันดีปีใหม่ไตให้มีสุขสมบูรณ์กันถ้วนทั่ว เมื่อรับประทานอาหารเช้า เตรียมเก็บสัมภาระ ประมาณ 8 โมงเช้าที่อากาศยังคงหนาวและหมอกยังลงจัดอยู่ ผมก็ได้ออกเดินทางไปเยี่ยมชมและนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ "วัดฟ้าเวียงอินทร์" ที่ตั้งอยู่บนเนินดอยที่ไม่สูงนักบริเวณรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมาร์ ซึ่งถนนที่มุ่งตรงไปยังวัดนั้น ด้านขวามือจะเป็นช่องทางราบระหว่างเขาที่ผู้คนออกมาร่วมแรงร่วมใจเก็บเกี่ยวพืชผักทางการเกษตรกันเป็นกลุ่มใหญ่ในยามเช้า เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ผมจึงขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเนิน "พระธาตุเจดีย์ศิลปะไทใหญ่" ซึ่งภายในสามารถเดินเข้าไปสักการะและเยี่ยมพระพุทธรูปปางประจำวันเกิดและภาพปูนปั้นเกี่ยวกับพุทธประวัติที่สวยงามยิ่ง บริเวณลานด้านหน้าพระธาตุเจดีย์จะมี "ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" หลังใหญ่ที่สามารถเข้าไปเคารพสักการะได้ด้วย ซึ่งพื้นที่บริเวณช่องเขาด้านหลังศาลนี้เมื่ออดีต คือ จุดเคลื่อนกองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเพื่อเดินทางไปยังหงสาวดี นอกจากนี้วัดฟ้าเวียงอินทร์ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น "พระพุทธรูปองค์ใหญ่" ที่มองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกลที่อยู่คนละยอดเขาแยกจากตัววัด ออกจากวัดฟ้าเวียงอินทร์ ผมมุ่งหน้ากลับไปตามถนนหมายเลข 1322 ผ่านใจกลางเมืองแวะซื้อเสบียงที่ร้านค้าหน้าวัดเปียงหลวง จากนั้นมุ่งหน้ากลับเชียงใหม่ โดยเมื่อถึงทางแยกบ้านนาจอง ซึ่งเป็นจุดตัดปลายทางของถนนหมายเลข 1178 กับ 1322 ผมเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 1178 เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของทิวทัศน์ธรรมชาติในเส้นทางใหม่ที่ยังไม่เคยเดินทางผ่านถนนหมายเลข 1178 ในช่วงเส้นทางนี้เลย ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ทิวทัศน์ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยป่าสนที่งดงามสุดแสนตราตรึงใจ ถนนเส้นนี้สภาพถนนดีมากเกือบตลอดเส้นทางมีเพียงช่วงรอยต่อระหว่างอำเภอเวียงแหงและเชียงดาวระยะทางราว 1-2 กิโลเมตรเท่านั้นที่ถนนมีสภาพเป็นหินแกรนิตขรุขระซึ่งต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง เดินทางต่อมาสักระยะ เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเมืองนะ หมู่บ้านย่านจุดกำเนิดแม่น้ำปิง สายน้ำที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่อีกเส้นหนึ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวไทยทั้งภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้จะถึงบริเวณแยกเมืองนะที่เป็นจุดบรรจบของถนนหมายเลข 1178 กับ 1340 ที่จะมุ่งไปบ้านอรุโณทัยและดอยอ่างขางแล้ว โดยผมเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 1178 เพื่อมุ่งกลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ ตามถนนหมายเลข 107 ต่อไป ประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้บทเรียนหนึ่งที่สอนและเตือนสติให้กับตนเอง คือ ต่อให้เส้นทางโหดร้ายแค่ไหนถ้าใจสู้เราจะผ่านมันไปได้เอง เพราะด้วยเส้นทางขรุขระที่จุดรอยต่อเขตอำเภอที่บอกไปข้างต้นนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะถอดใจหันหลังกลับไปทิศทางเดิมเพราะไม่รู้ว่าสภาพหนทางข้างหน้าจะต้องพบเจอกับสภาพทางวิบากอะไรบ้างและยาวไกลแค่ไหน แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าเราเดินทางมาไกลแล้วหากย้อนกลับไปจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์และเส้นทางข้างหน้าอาจจะเลวร้ายไม่มากนักเพียงแค่ผ่านถนนในช่วงนี้ไปให้ได้ และในความโหดร้ายนั้นอย่างน้อยก็ยังมีอะไรที่สวยงามให้ได้พักสมองและสายตา ให้เราได้มานั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้บ้าง หากเปรียบดังชีวิตก็เช่นกัน มันคงไม่ได้ราบเรียบเหมือนทะเลไร้คลื่น ถนนไร้หลุม เสมอไปหรอกนะ การผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตไปให้ได้ สักวันมันจะทะยานขึ้นจุดสูงสุดแน่นอน และเมื่อถึงจุดนั้นเราจะได้ไม่ประมาทอีกในชีวิต “เพียงแค่กล้า แล้วจะเห็นความงามที่แตกต่างของชีวิต” ท้ายสุดนี้ หากใครอยากจะมาเปิดประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางใหม่แบบผมบ้าง หลังวิกฤตกาลโรคระบาดโควิด 19 ที่สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว ก็ลองเตรียมพร้อมออกเดินทางตามเส้นทางของผมกันได้นะครับ สวัสดีครับ