หลังจากเลิกกับคนที่คบกันมานาน 10 ปี ชีวิตของเราตอนนั้นก็แอบเซไปเซมาอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับล้มหรอก เพราะเราทำทุกทางเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ให้ได้ การตัดสินใจออกเดินทางคนเดียวครั้งแรก ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกของเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ... เราเลือกเดินทางไปหมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ (โดยส่วนตัวเราชอบจังหวัดเชียงใหม่อยู่แล้ว เราชอบธรรมชาติ วิถีชีวิต และผู้คนที่นั่น) เราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ของบริษัทสมบัติทัวร์ รอบดึกถึงเชียงใหม่ตอนเช้า และจองที่นั่งแบบ VIP Class รถค่อนข้างใหม่ เบาะนุ่ม แอร์เย็นสบาย ส่วนเที่ยวที่เราไปผู้โดยสารเต็มคันรถเพราะเป็นช่วงหลังปีใหม่อาทิตย์เดียว เมื่อถึงเชียงใหม่เรานั่งรถหวานเย็นไปลงที่ตลาดวโรรสเพื่อจะขึ้นรถตู้ไปแม่กำปอง (เราจองรถตู้ไว้ล่วงหน้าแล้ว จากเพจนี้เลย https://www.facebook.com/Van.Hotsprings/) คนขับบริการดี พูดจาดี หน้าตายิ้มแย้มตลอด :) ถึงแล้ว…หมู่บ้านแม่กำปอง! เรารีบเดินเพื่อตามหาร้านที่ชื่อว่า เฮือนกาแฟ เนื่องจากเราไม่ได้จองที่พักมา ก่อนมาเราพยายามโทรหาโฮมสเตย์ทุกที่แล้วแต่เต็มหมด เราไปอ่านเจอกระทู้หนึ่งเขาบอกว่าให้ไปที่ เฮือนกาแฟ ที่นั่นจะมีผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยหาที่พักให้เราได้ ตอนนั้นแอบลุ้นเหมือนกันว่าจะมีไหม แต่ก็คิดไว้ว่าถ้าไม่มีที่พักจริง ๆ เรานอนตรงไหนก็ได้ ปูเสื่อนอนก็ได้ 55 5 สุดท้ายผู้ใหญ่บ้านก็หาที่พักให้เราได้ แต่…เป็นบ้านพักของชาวบ้านนะ นี่คือบ้านพักของเรา เจ้าของบ้านเป็นคุณลุง คุณป้าหน้าตาใจดี มีชื่อว่าคุณลุงอ้ายและคุณป้าลัดดา นี่คือวิวจากหน้าต่างห้องพักของเรา มองไม่เห็นอะไรเลย 555 มองไปนอกหน้าต่างมองเห็นแต่หมอกปกคลุมอยู่ทั่วหมู่บ้าน อากาศดีมากก มากจนทำให้เรารู้สึกเหงาขึ้นมาทันที เรารีบดึงสติแล้วบอกกับตัวเองว่าแกนั่งรถมา 10 กว่าชั่วโมงเพื่อจะมานั่งเหงาไม่ได้นะ 555 ลุกออกไปเดินเล่น เดินชมหมู่บ้านดีกว่าา ระหว่างทางที่เดินในหมู่บ้านเราจะเห็นธารน้ำเล็กๆแบบนี้ตลอดทางและยังได้ยินเสียงน้ำตกตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศที่นี่ดี รู้สึกเย็นสบายไปหมด เราเดินไปยิ้มไป ไม่ได้บ้านะ แค่บรรยากาศมันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก 555 เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอทั้งร้าน Postcard ร้านกาแฟ ร้านข้าวโพดปิ้ง ร้านส้มตำ ร้านอาหารพื้นเมืองต่าง ๆ มากมาย หลังจากเดินชมหมู่บ้านไปสักพัก เรากลับมาที่บ้านและถามคุณลุงเรื่องไกด์ เราเคยอ่านกระทู้มาว่าที่นี่มีไกด์พาเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติ คุณลุงจัดการนัดไกด์ให้เราเรียบร้อย ระหว่างรอเราเผลอหลับไป คุณลุงมาเคาะประตูห้องเรียกบอกว่าไกด์มาถึงแล้ว ไกด์ของเราเป็นสาวน้อยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้นั่นเอง น้องพาเราไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระหว่างเดินน้องก็เล่าความเป็นมาเป็นไปของหมู่บ้าน ชี้ต้นไม้ต้นนู้น ต้นนี้และอธิบายสรรพคุณของมันให้เราฟังและยังให้เราลองชิมผัก ผลหมากรากไม้ในป่าอีกด้วย 555 เราเดินผ่านทั้งไร่เมี่ยง ไร่กาแฟที่ชาวบ้านปลูกไว้จนไปถึงน้ำตกแม่กำปอง และนี่ก็คือที่มาของเสียงน้ำตกที่เราได้ยินตลอดเวลา หลังจากชื่นฉ่ำกับน้ำตกสักพัก เราก็เดินต่อไปที่ “ร้านกาแฟชมนกชมไม้” ร้านนี้ตั้งอยู่บนดอยแม่กำปอง ทำให้มองเห็นทิวเขาและความเขียวชอุ่มของต้นไม้ที่ล้อมรอบหมู่บ้านได้อย่างชัดเจน (ใครมาหมู่บ้านแม่กำปองแล้วไม่มาที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึง!) เรานั่งจิบกาแฟ ทานเค้กช้า ๆ เพื่อที่จะดื่มด่ำกับวิวนี้ให้นานที่สุด แต่นั่งได้ไม่นานก็หันไปเห็นคนรอคิวเต็มหน้าร้าน ฉันลุกก็ได้ว่ะ 555 น้องพาเราเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อพาไปดูว่าชาวบ้านที่นี่ประกอบอาชีพอะไรกันบ้าง มีทั้งงานหัตถกรรม นำไม้ไผ่มาสานเป็นของใช้ต่าง ๆ เช่นตะกร้าใบเล็ก ใบใหญ่ เราลองนั่งสานอยู่แปปนึงแต่คิดว่าไม่รอด เลยขออุดหนุนคุณป้าแทน 555 นอกจากนั้นก็ยังมีหมอนสมุนไพรใบชา มีใบเมี่ยงหมักเป็นสมุนไพรสามารถทานกับน้ำพริกได้ เราชิมไปนึดนึงขมมากกก คายทิ้งแทบไม่ทัน แต่หวานเป็นลมขมเป็นยาไงจ๊ะ ท่องไว้ ! 555 ใครมาที่นี่แวะไปอุดหนุนกันนะคะช่วยชาวบ้านให้มีรายได้ ระหว่างเดินกลับที่พัก เราคุยกับน้องไกด์ตลอดทาง แชร์เรื่องราวต่างๆของกันและกัน เราสนิทกันเร็วมากเพราะเรารู้สึกว่าน้องน่ารัก ขยัน เป็นเด็กดี แถมน้องยังขอเป็นตากล้องส่วนตัวให้เราอีกด้วย 555 เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าในการเดินรอบหมู่บ้านครั้งนี้ ก่อนแยกกับน้อง น้องบอกกับเราว่าคืนนี้จะมีการแสดงของหมู่บ้านซึ่งน้องจะรำแสดงด้วย น้องอยากให้เราไปดู ถ้าเราจะไปให้ไปเจอกันที่ศูนย์การเรียนรู้ของหมู่บ้าน เราไม่ได้ตอบตกลงเพราะคิดว่าจะไปเซอร์ไพรส์น้อง :) เรากลับมาถึงบ้านคุณป้าลัดดาเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ทาน เรานั่งคุยกับคุณป้าสักพักเล่าให้คุณป้าฟังว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง คุณป้าพูดภาษาเหนือน่ารักมาก ถึงแม้เราจะฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็เถอะ แต่เราชอบ มีเสน่ห์ดี :) อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ เรารีบไปอาบน้ำก่อนจะค่ำ เราเปิดน้ำร้อนสุดแต่ยังไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยเพราะมันหนาวมาก 55 5 เราเดินมาที่โรงเรียนวัดแม่กำปอง เด็ก ๆ กำลังรำแสดงกันมีทั้งเด็กเล็กและเด็กโต เรานั่งดูการแสดงจนถึงตาน้องไกด์ น้องรำสวยมาก เก่งมาก ๆ เลย พอน้องแสดงเสร็จน้องก็รีบไปเปลี่ยนชุดพาเราไปเดินเล่นยามดึก เราบอกน้องว่าเราอยากได้ชุดเหนือ น้องก็พาไปช้อปปิ้งที่ร้านเฮือนบอกฮัก ที่นั่นมีชุดเหนือ ชุดม้งสวย ๆ ให้เลือกมากมายเลย ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าบ้าน น้องบอกเราว่าพรุ่งนี้น้องต้องไปทำธุระกับครอบครัว คงจะไม่ได้เจอกันแล้ว เราแอบใจหายนิด ๆ แต่เราก็สัญญากับน้องว่าเราจะกลับมาหาน้องอีก แล้วก็ได้เวลานอนพักผ่อนเตรียมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วฝิ่นพรุ่งนี้ เวลาตี 3 กว่ารถก็มารับเราขึ้นไปกิ่วฝิ่น ทางขึ้นไปมืดมากมองอะไรไม่เห็นเลยต้องใช้ไฟฉายส่องทาง อากาศก็หนาวมากประมาณ 10 องศา เราไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยเพราะมือสั่นปากสั่นไปหมด ส่วนใหญ่คนขึ้นมาเป็นกลุ่มน่าจะมีแต่เราที่มาคนเดียวเราก็เลยต้องแฝงตัวไปกับคนอื่น 555 สนทนากับคนนั้นคนนี้ระหว่างทางเดินขึ้น จนได้รู้จักกับเพื่อนร่วมทาง (รุ่นแม่) หลายคนเลย 555 หลังจากที่เดินลงมาจากกิ่วฝิ่น คุณลุงคนขับรถถามเราว่าอยากไปร้านกาแฟ Giant ไหม? (ร้าน The Giant Chiang Mai เป็นร้านกาแฟที่เราอยากไปมาก ตอนแรกเราตัดใจจากร้านนี้ไปแล้วเพราะอ่านจากกระทู้มาว่าต้องเหมารถไปเท่านั้น เพราะค่อนข้างไกลและทางค่อนข้างลำบาก เราไปคนเดียวก็คงไม่คุ้ม) เราคิดในใจว่าลุงรู้ได้ยังไงเนี่ยว่าเราอยากไป 555 เรารีบตอบอย่างไม่คิด ไปค่ะลุง! คุณลุงพยายามเดินหาคนไปเพิ่มเพราะถ้าพาเราไปคนเดียวคงไม่คุ้ม สุดท้ายคุณลุงก็หาได้อีก 3 คน ซึ่ง 3 คนนั้นที่เดินขึ้นรถมาคือเพื่อนของแฟนเก่าที่เราเพิ่งเลิก What a small world ! 555 แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก คิดอีกแง่ ดีเสียอีกที่ได้เจอคนรู้จักที่นี่ เรานั่งคุยและแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวกันตลอดทางจนถึงร้าน ถึงแล้ววววว... The Giant Chiangmai ร้านสวยมากกกก! จุดเด่นของร้านกาแฟนี้คือตั้งอยู่บนต้นไม้ใหญ่และต้องต่อคิวเดินข้ามสะพานไม้ยาวๆที่โยกเยกไปมาเพื่อไปที่ร้าน ตอนเดินแอบเสียวเบา ๆ แต่ก็สนุกสนานดีค่ะ เรานั่งจิบกาแฟร้อน ๆ ทานเค้กช้า ๆ และนั่งมองวิวธรรมชาติที่กว้างใหญ่ตรงหน้ากับอากาศหนาว ๆ ความรู้สึกมันดีมากเลย แค่นี้แหละที่เราต้องการ :) และก็ถึงเวลากลับบ้าน...เรากลับมาที่บ้านพักเตรียมเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพ วันนี้อากาศที่นี่อุ่นขึ้นทำให้มองเห็นวิวต้นไม้จากหน้าต่างได้ชัดเจน ความรู้สึกตอนนั้นไม่อยากกลับเลย เรารู้สึกหลงรักที่นี่ไปซะแล้ว :) เราเดินออกมาร่ำลาและขอบคุณคุณลุงอ้ายและคุณป้าลัดดาที่ดูแลเราอย่างดี เราสัญญากับพวกเขาว่าเราจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน เราฝากสมุดไดอารี่ที่เราตั้งใจเอามาเขียนที่นี่ให้น้องกานต์ (น้องไกด์ที่น่ารักของเรา) ให้เขาเอาไว้จดการบ้านที่โรงเรียนเพราะน้องบอกเราว่าน้องชอบเรียนหนังสือและน้องอยากตั้งใจเรียน พี่เป็นกำลังใจให้น้า ปล.เราดีใจมากที่ได้เจอน้องที่นี่ เราไม่คิดมาก่อนเลยว่าเราจะได้เจออะไรดี ๆ ในการเดินทางครั้งนี้ ขอบคุณน้องมาก ๆ เลย :) สุดท้าย...การเดินทางระยะสั้นของเราครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตเราไปเลย เราไม่กลัวการไปไหนคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เราไม่กลัวว่าเส้นทางข้างหน้าที่เรากำลังจะไปมันจะเป็นยังไงเพราะเราเชื่อว่ามันจะมีสิ่งที่ดี เรื่องราวที่ดีและคนที่ดีรอให้เราไปเจออยู่เสมอ เราสนใจสิ่งรอบตัวและคนรอบข้างมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด เราได้รู้จักและรักตัวเองมากขึ้นด้วย :) การออกเดินทางคนเดียว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เคยมีใครอยู่ข้างกายตลอดเวลา แต่เมื่อโลกให้เราเผชิญกับความจริงที่ว่า "ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่กับเราตลอดไป" ดังนั้นการหัดเรียนรู้ที่จะเดินคนเดียวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องยากนะ... คุณจะได้เจอความสุขระหว่างทางแน่นอน ขอเป็นกำลังใจให้คนอกหักทุกคนนะคะ :)