นาน ๆ ทีจะมีนวนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ออกมาสู่บรรณพิภพสักเรื่องหนึ่ง แต่โดยมากก็มักจะเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของราชธานีเสียเป็นส่วนใหญ่ จนในบางครั้งเราก็หลงลืมไปว่าไม่ใช่เพียงแต่ราชธานีเท่านั้นที่มี ‘ประวัติศาสตร์’ ในส่วนของท้องถิ่นเองก็มีประวัติศาสตร์เช่นกัน เพียงแต่ระบบการศึกษาของเราหลงลืมที่จะหยิบยกเอาเรื่องราวเหล่านี้เข้ามาบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนก็เท่านั้น จึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ถ้าหากว่าจะมี ‘ใครสักคน’ กล้าที่จะหยิบยกเอา ‘ประวัติศาสตร์’ ที่ถูกมองข้ามเหล่านั้นมาเรียบเรียงเสียใหม่ให้น่าสนใจ เพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ศึกษาเรียนรู้และสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของมันผ่านวรรณกรรม ยิ่งถ้าหากว่า ‘ใครคนนั้น’ เป็นนักเขียนผู้มากด้วยฝีมือและช่ำชองด้วยประสบการณ์การทำงานอย่าง กฤษณา อโศกสิน แล้วล่ะก็ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างถึงที่สุดจากประสบการณ์การสร้างสรรค์ผลงานประพันธ์มาเกือบ ๗ ทศวรรษ นามปากกา กฤษณา อโศกสิน ได้รังสรรค์ผลงานออกมาสู่สายตาผู้อ่านมากกว่า ๒๐๐ ผลงาน ซึ่งโดยมากจะเป็นผลงานนวนิยายในแนวสัจนิยมสะท้อนชีวิตและสังคมเสียเป็นส่วนใหญ่ มีนวนิยายแนวลี้ลับอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ ดวงตาสีอำพัน มีนวนิยายแนวธรรมะ แนวโหราศาสตร์ แนวทดลองอยู่บางส่วน และมีนวนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ล้านนาอยู่ ‘เซต’ หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเพชรน้ำงามอีกเม็ดหนึ่งของวงการวรรณกรรม นั่นก็คือนวนิยายไตรภาคอิงประวัติศาสตร์ล้านนา ชุด เวียงแว่นฟ้า หนึ่งฟ้าดินเดียว และ ขุนหอคำ เวียงแว่นฟ้า (๒๕๔๔) ได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ หลังจากที่นวนิยายได้ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ลงในนิตยสารสกุลไทยราวพ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๔ โดยนวนิยายเรื่องนี้ได้รับ รางวัลชมเชย ประเภทนวนิยาย จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๔๕ และนวนิยายดีเด่น รางวัล 7 Books Awards ประจำปี ๒๕๔๗ กฤษณา อโศกสิน ได้ตัดสินใจ ‘ฮึด’ เขียน เวียงแว่นฟ้า ขึ้นหลังจากที่ได้พูดคุยกับ กรองแก้ว ลังการ์พินธุ์ ผู้สืบเชื้อสายจากอดีตเจ้าผู้ครองนครลำพูน โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือประวัติศาสตร์ล้านนานับสิบ ๆ เล่ม ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยเรื่อง ไท จาก ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย รองศาสตราจารย์วิระดา สมสวัสดิ์ หนังสือ ประวัติศาสตร์ล้านนา ของ รองศาสตราจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหนือแคว้นแดนสยาม และ เพ็ชรล้านนา เล่ม ๑ - ๒ ของ ปรานี ศิริธร หนังสือ คนดีเมืองเหนือ ของ สงวน โชติสุขรัตน์ หนังสือ เที่ยวเมืองเชียวตุงและแคว้นสาละวิน ของ บ.บุญค้ำ หนังสือ เรื่องเมืองเชียงตุง และ พจนานุกรมภาษาล้านนา ของ อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และคณะ ปัญหาชายแดนไทยพม่า ของ นคร พันธุ์ณรงค์ หนังสือ พระเจดีย์เมืองเชียงเสน ของ จิรศักดิ์ เดชวงศ์ญา และ จดหมายเหตุนครเชียงใหม่ ซึ่งทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดพิมพ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2539 รวมไปถึงหนังสือ สารานุกรมวัฒนธรรมภาคเหนือ ทั้ง ๑๕ เล่ม และผลงานหนังสือแปลอีกเป็นจำนวนมากผลจากการศึกษาข้อมูลที่มากมายก่ายกองนี้ ทำให้ กฤษณา อโศกสิน ได้นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ล้านนาอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากที่เธอได้ลงมือเขียนนวนิยายไตรภาคชุดนี้จบสมบูรณ์ นั่นก็คือนวนิยายเรื่อง นางพญาหลวง (๒๕๔๘) นิยายอิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวประวัติของ เจ้านางจิรประภาเทวี ซึ่งเคยครอง ‘กรุง’ เชียงใหม่ ก่อนที่จะถูกตีไปเป็นเมืองขึ้นพม่า โดยพม่าได้ตีเมืองล้านนาแล้วก็ใช้เชียงแสนเป็นที่ตั้งฐานทัพเพื่อยกไปตีล้านช้าง (เวียงจันทน์) เวียงแว่นฟ้า (๒๕๔๔) พาผู้อ่านย้อนกลับไปยังสมัยของ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ ๔ ของกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มจับความมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๓ โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตรักของ เมืองราม สล่า (ช่าง) หนุ่มน้อยจากเมืองละคอน (ลำปาง) ที่มีโอกาสได้เข้ามาทำงานเป็นช่างไม้ในคุ้มบุรีรัตน์ หลังจากที่เขาได้ติดตาม นายบุญค้ำ ผู้เป็นบิดานำของป่าไปถวายเจ้าหลวง ในตอนที่เจ้าหลวงและพระญาติได้เสด็จออกมาประพาสป่านอกเมืองเพื่อผ่อนคลายความกังวลจากปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้า ทั้งปัญหาจากข้าศึกที่จ้องจะรุกราน ปัญหากับพม่าและไทใหญ่ ไปจนถึงปัญหามิชชั่นนารีชาวกุลวา (ฝรั่ง) ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่คุ้มบุรีรัตน์นี่เอง ที่ เมืองราม ได้พบรักกับ บัวบุรี ลูกสาววัยสิบสี่ย่างสิบห้าปีของ นางบัวผัน ซึ่งเป็นข้ารับใช้อยู่ภายในคุ้มแห่งนี้ แม้ทั้งสองจะคบหาดูใจกันอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ และเรื่องราวก็ดูเหมือนว่าจะดำเนินไปด้วยดี ทว่าในท้ายที่สุดทั้งสองก็จำต้องพลัดพรากจากกัน เมื่อ เจ้าบุรีรัตน์ พระสวามีของพระธิดาองค์โตในเจ้าหลวงกาวิโรรสสุริยวงศ์เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้รับเอาตัว ม่อน เข้ามาเป็นช่างรับใช้ภายในคุ้ม เพราะในเช้าวันหนึ่ง ม่อน ก็ได้ลักพาเอาตัว บัวบุรี หนีออกไปจากคุ้มบุรีรัตน์ โดยไม่สนใจคำอ้อนวอนของ บัวบุรี แม้แต่น้อยม่อน ได้ลักพาตัว บัวบุรี หนีไปจนถึงเมืองนายและได้เข้าพิธีกินแขกแต่งงานกับ บัวบุรี สมใจ ซึ่งที่เมืองนายนี่เองที่ บัวบุรี ได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว ม่อน หาใช่สามัญชนทั่วไปไม่ หากแต่มีศักดิ์เป็นถึง เจ้าม่อนฟ้า น้องชายของ ขุนจองสี เจ้าฟ้าเมืองนาย บุตรชายของ ขุนต้นแสง กับ เจ้าแม่นวลคำกฤษณา อโศกสิน ปิดฉาก เวียงแว่นฟ้า ของเธอลงในบทที่ ๗๐ เมื่อสิ้นรัชสมัยเจ้าหลวงองค์ที่ ๖ และเริ่มต้นเข้าสู่รัชสมัยของเจ้าหลวงองค์ที่ ๗ พร้อมกับบทบรรยายในหน้าสุดท้ายที่แสนสะท้อนใจว่า เวียงนายกับเวียงพิงค์ก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ในเมื่อเวียงทั้งสองก็เป็นเช่นเวียงเล็กในเวียงใหญ่ พานเล็กบนพานใหญ่เหมือน ๆ กัน กล่าวคือ เวียงนายเป็นข้าม่าน เวียงพิงค์เป็นข้าสยาม หนึ่งฟ้าดินเดียว (๒๕๔๖) เป็นนวนิยายจำนวน ๗๔ ตอนจบ เคยพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารสกุลไทยช่วง พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๖ ได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรก ในพ.ศ. ๒๕๔๖ และถือว่าเป็นภาคสองของนวนิยายไตรภาคชุดนี้เรื่องราวใน หนึ่งฟ้าดินเดียว เริ่มจับความตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๓๐ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ในขณะที่ล้านนามีฐานะเป็นอาณาจักรกันชนระหว่างรัฐใหญ่ทั้งสาม คือ สยาม พม่า และอังกฤษนวนิยายกล่าวถึง เมืองราม ผู้ซึ่งถูกโชคชะตาแห่งรักกลั่นแกล้ง เขาได้ปล่อยให้กาลเวลาช่วยเยียวยารักษาแผลใจของตนผ่านการทำงานต่าง ๆ อยู่ที่คุ้มของ เจ้าบุรีรัตน์ ต่อไป จนกระทั่งเมื่อ เจ้าหลวงกาวิโรรสสุริยวงศ์ ถึงแก่พิราลัย และ เจ้าบุรีรัตน์ หรือ เจ้าหลวงอินทวิชยานนท์ ได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ซึ่งในขณะนั้นเมืองรามมีอายุได้ยี่สิบห้าปีพอดี เขาจึงมีโอกาสได้เดินทางร่วมกับกลุ่มคณะทูตของ เจ้าน้อยปัญญา นายน้อยคำปัน และ นายน้อยคำสวน เพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าเมงดง ที่เมืองอังวะ หรือ มัณฑะเล เมืองหลวงของพม่าในสมัยนั้น ซึ่งทำให้เจ้าหลวงทรงพอพระทัยเป็นอันมากเจ้าหลวงได้พยายามคิดหาตำแหน่งให้เมืองราม เพราะกลัวว่าคนดีมีฝีมืออย่างเมืองรามจะหนีกลับเมืองละคอนไป ในช่วงเวลานี้เองที่เมืองรามมีโอกาสได้พบกับ เจ้าหญิงระยับเนตร ทั้งสองเกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน และได้กินแขกแต่งงานกันในที่สุด เจ้าหญิงระยับเนตร ได้ให้บุตรแก่เมืองรามสองคน คนโตเป็นลูกสาวชื่อว่า อาบองค์ ส่วนคนรองเป็นลูกชายชื่อว่า เมืองสิงห์ หลังจากนั้นไม่นานนัก ด้วยความจงรักภักดีและผลงานอันปรากฏเป็นที่น่าพึงพอใจของเมืองรามเอง เจ้าหลวงจึงได้แต่งตั้งให้เมืองรามเป็น พญารามรักษาเขต มีหน้าที่ดูแลหัวเมืองทางชายแดนเมื่อเขาทราบข่าวว่าพระชายาของเจ้าหลวงถึงแก่พิราลัย พญารามรักษาเขต จึงได้กลับมาที่เมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาเชียงใหม่ในครั้งนี้เอง ที่ พญารามรักษาเขต และครอบครัวได้มีโอกาสไปส่งเสด็จ “เจ้าหญิงน้อย” พระธิดาของเจ้าหลวงและพระชายา เข้าไปถวายตัวแด่พระมหากษัตริย์สยาม เพื่อหลอมรวมให้สองฟ้าสองดินเป็น ‘หนึ่งฟ้าดินเดียว’ กันอย่างสมบูรณ์ โดยเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ยกคุ้มหลวงกลางเวียงให้เป็นศาลาว่าการนครเชียงใหม่ ยกที่ดินบริเวณคุ้มพระเจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ให้สร้างโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เจ้านายทุกคนในเชียงใหม่ต่างก็ยินดีมอบที่ดินกลางเวียงแก่รัฐบาลสยามเป็นที่ทำการ แล้วอพยพไปอยู่นอกเวียง พระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์จัดการปกครองมณฑลเทศภิบาลเป็นเวลาทั้งสิ้น ๑๓ ปี ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมี ‘สถาบันพระมหากษัตริย์สยาม’ เป็นศูนย์รวมอำนาจภายใต้ดินแดนหนึ่งเดียว ซึ่งต่อมามีนามว่า ‘ประเทศไทย’ กฤษณา อโศกสิน สร้างตัวละครทุกตัวใน หนึ่งฟ้าดินเดียว ได้อย่างละเมียดละไมและพิถีพิถันเป็นที่สุด ตัวละครทุกตัวในนวนิยายเรื่องนี้จึงมีลักษณะของความเป็นมนุษย์ปุถุชนที่สมจริง มีเลือดมีเนื้อทั้ง ๆ ที่กำลังโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษ โดยเฉพาะตัวละครที่เป็นตัวละครหลักอย่าง เมืองราม และ เจ้าหญิงระยับเนตร ซึ่งเป็นตัวแทนนำเสนอระบบความสัมพันธ์ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพากันแบบ “เจ้าอยู่ได้ด้วยไพร่” กฤษณา อโศกสิน ก็สามารถ ‘สั่ง’ ให้ เมืองราม และ เจ้าหญิงระยับเนตร ออกมานำเสนอต่อสายตาผู้อ่านได้อย่างแนบเนียนและน่าสนใจ ผ่านภาษาสร้างสรรค์วรรณศิลป์ที่ผู้ประพันธ์ได้พยายามเลือกใช้ได้อย่างงดงาม มีความพลิ้วไหว มีเสียงกระทบสัมผัสคล้องจองเป็นลำนำทำนองราวบทกวี อีกทั้งยังมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบต่าง ๆ ทำให้สื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งอันแสดงถึงอลังการงานศิลป์โดยแท้ นอกเหนือจากลักษณะของตัวละครที่สมจริงและวรรณศิลป์อันเพริศพลิ้วตามแบบฉบับของ กฤษณา อโศกสิน แล้ว ลักษณะอันโดดเด่นอีกประการหนึ่งที่จะงดเว้นกล่าวเสียไม่ได้ในนวนิยายเรื่องนี้ น่าจะเป็นความโดดเด่นและความน่าสนใจของการนำเสนอภาพพิธีกรรม วัฒนธรรมทางศาสนา และความเชื่อ ซึ่งถือเป็นระบบคุณค่าทางปัญญาและจิตวิญญาณ เพราะ หนึ่งฟ้าดินเดียว สามารถนำเสนอวิถีคิดและวิถีแห่งอุดมคติทางสังคม ผ่านภาพวิถีชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ อันล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงปรัชญา วิธีคิด และความสามารถ ตลอดจนความละเอียดประณีตในเชิงช่างเชิงศิลป์ของคนล้านนาในอดีตได้อย่างชัดเจน เห็นภาพ ได้กลิ่น-ยินเสียง นับตั้งแต่อารยธรรมในคุ้มหลวงซึ่งเต็มไปด้วยระบบระเบียบและพิธีรีตอง การจัดสัดส่วนโครงสร้างของหอว่าราชการ ที่ประทับเจ้าฟ้าและราชนิกุล การจัดตกแต่งประดับประดาคุ้มหลวงอันขรึมขลังพิลาสพิไล ความสวยงามประณีตและรูปแบบการแต่งกายของเจ้าฟ้านายใน ขบวนแห่เสด็จ การดนตรีและการแสดงขับฟ้อนลีลาเฉพาะของล้านนาในคุ้มหลวง ไม่ว่าจะเป็นคำค่าว เพลงซอ รวมไปจนถึงลำนำต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงวิถีการค้าการธุรกิจแลกเปลี่ยนทั้งระบบ “กาดหมั้ว” และระบบงัวต่างม้าต่าง ซึ่งเป็นการค้าขายที่ต้องใช้วัวและม้าเป็นพาหนะในการคมนาคมเดินทางขนถ่ายสินค้า รวมไปถึงวิถีชีวิตแบบพอเพียงและภูมิปัญญาด้านการจัดการระบบอาหารการกินที่สอดคล้องกับความอุดมสมบูรณ์และลักษณะภูมิศาสตร์ทางธรรมชาติในแผ่นดินล้านนายุคนั้น ผู้อ่านจะได้เห็นคติคำสอนประเภท “สุภาษิตเมืองเหนือ” อันสะท้อนถึงระบบคิดเชิงปรัชญาและแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันปรากฏแทรกอยู่เป็นระยะตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่คำสอนในระดับ “เจ้า” ไปจนถึงสามัญชน นอกจากนี้ยังจะได้สัมผัสภาพอันละเอียดอ่อนของมรดกทางภูมิปัญญาและจิตวิญญาณของชาติ ซึ่งจัดเป็นระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม ที่ผู้ประพันธ์ได้พยายามลงลึกในรายละเอียดด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมล้านนา พอ ๆ กับใส่ใจลงลึกในรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่เคยยิ่งใหญ่รุ่งเรืองด้วยอารยธรรมมาแต่บรรพกาล นับตั้งแต่ “วิถีเจ้า” ลงมาจนถึงวิถีไพร่บ้านพลเมือง ผ่านการบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับประเพณีและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นล้านนา เช่น การทำนา การขึ้นบ้านใหม่ การแต่งงาน การทำอาหารบางชนิด คติความเชื่อ ‘ฮีตฮอย’ ตลอดถึงภาษิตล้านนา ภูมิศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศของคนไท-ไตในแผ่นดินเหนือสยามขึ้นไป อันสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักวิชาการของผู้ประพันธ์ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาอย่างละเอียดน่าชื่นชม กล่าวคือผู้ประพันธ์สามารถย่อยความรู้ทางวิชาการให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้อ่านได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับล้านนาศึกษา ผ่านเทคนิคการ “โปรยดอกไม้” ให้กระจายไปทั่วทั้งเรื่องเพื่อเติมเต็มความหอมหวานงดงามแห่งชีวิตและสังคมในนวนิยาย กระบวนการนำเสนอในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความอัดแน่นชวนให้ตึงเครียดของเรื่องราวทางการเมืองให้โปร่งเบาขึ้น หากยังเป็นการขับเน้นบทบาทหน้าที่ของนวนิยายอย่างลึกซึ้ง ในการสะท้อนถึงระบบคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ซึมแทรกอยู่ในชีวิตวิญญาณของผู้คน เพื่อหล่อเลี้ยงรากเหง้าสังคมให้ตั้งดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกครอบงำทำลายให้สูญสลายไป ระบบคุณค่าเหล่านี้เป็นบทเรียนให้ตระหนักในความเป็น “ตัวตน” ของความเป็นล้านนา ที่ควรต้องนำมาทบทวนทั้งในระดับสังคมและในระดับชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของผู้ประพันธ์ที่สามารถเข้าถึงความลึกซึ้งและร่ำรวยทางวัฒนธรรมของสังคมล้านนาได้เป็นอย่างดี จนสามารถถ่ายทอดออกมาได้สอดคล้องกับเรื่องราวความเป็นไปของตัวละครจนดูเหมือน “จริง” เป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของบทบาทหน้าที่ของนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ หนึ่งฟ้าดินเดียว ได้มุ่งนำเสนอให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ทั้งสองแผ่นดิน คือ ทั้งรัชกาลที่ห้าแห่งสยาม ที่ทรงยืนหยัดต่อสู้ด้วยยุทธศาสตร์อันลึกล้ำแยบยลภายใต้พระปรีชาญาณยิ่งเท่าที่พระมหากษัตริย์นักรบสมัยใหม่แห่งแผ่นดินเอเชียอาคเนย์ในช่วงเวลานั้นจะสามารถกระทำได้ และ เจ้าหลวงพระองค์ที่เจ็ดแห่งล้านนา ที่ทรงตัดสินพระทัยส่ง ‘เยาวนารีศรีล้านนา’ เจ้าหญิงน้อยวัยย่าง ๑๔ ชันษา ไปมอบถวายแด่กษัตริย์เจ้ารัชกาลที่ห้าแห่งสยาม เพื่อเชื่อมให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งนับเป็นการสร้างรากฐานแห่งความปรองดองที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้น ที่แลกมาด้วยน้ำพระทัยอันเสียสละยิ่ง เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านนวนิยายเรื่องนี้จบลงด้วยใจที่ปราศจากอคติ เชื่อแน่ว่าย่อมจะทำให้ผู้อ่านเกิดความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ ทั้งในส่วนของอาณาจักรล้านนาและสยามประเทศ อีกทั้งเกิดความรู้สึกรักและศรัทธาในการตัดสินใจของบรรพชน ทั้งที่เป็น “เจ้า” และ “ไพร่” (ข้าหลวง) ที่สามารถป้องกันรักษาอธิปไตยของชาติเอาไว้ให้ลูกหลานได้ ผ่านยุทธวิธีการต่อสู้ทั้งแบบปะทะและแบบประสาน ทั้งแบบผ่อนหนักผ่อนเบาและแข็งกร้าว ยืนหยัดเมื่อถึงคราวจำเป็น จนในที่สุดก็สามารถสร้างกระบวนการปฏิรูปการเมืองโดยการ “รวมรัฐ” ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวเพื่อก่อรูปรัฐชาติสมัยใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม อีกทั้งมีอำนาจต่อรองมากกว่าเดิมได้เป็นผลสำเร็จ เพื่อเพิ่มอำนาจในการตอบโต้กับเจ้าของอาณานิคมทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสในเวลานั้นได้ หนึ่งฟ้าดินเดียว ไม่ได้เป็นผลงานวรรณกรรมเพื่อคิด “แก้ต่าง” ใด ๆ ทางประวัติศาสตร์ และไม่ได้เป็นเพียงวรรณกรรมประเภท “อิงประวัติศาสตร์” ที่ให้ภาพหยุดนิ่งตายตัว หรือเรียกร้องให้โหยหาชีวิตในอดีตอย่างไร้เหตุผล ทว่าเป็นการใช้อัจฉริยภาพทางวรรณศิลป์ฉายย้อนอดีตให้เห็นถึงพลังของรัฐสยามและล้านนา ในการตอบโต้ต่อรองกับอำนาจคุกคามของจักรวรรดิตะวันตกในยุคนั้น โดยผู้เขียนเชื่อมโยงเอาตัวแทนศูนย์อำนาจในแต่ละพื้นที่มาเป็น “คู่สนทนา” ในเรื่อง และใช้พลังของ “ความรัก” เป็นเส้นใยในการถักทอสอดร้อยมิติต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จนทำให้เห็นภาพการปรับตัวเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของสยามในซีกสำคัญอีกส่วนหนึ่ง รวมกระทั่งชีวิตปัจเจกที่ตกอยู่ภายใต้การบีบคั้นของสถานการณ์ล่าเมืองขึ้นในต้นยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและน่าประทับใจยิ่ง ด้วยคุณค่าทางด้านเนื้อหาอันพร้อมสรรพด้วยสาระข้อมูลที่ถูกต้อง ผสมผสานกับจินตนาการท้องเรื่องและลีลาทางด้านวรรณศิลป์ที่ประสานกันอย่างลงตัว งดงาม และกลมกลืน ดังกล่าวมานี้ จึงทำให้ หนึ่งฟ้าดินเดียว ได้รับการคัดเลือกให้เป็น หนังสือรางวัลดีเด่น กลุ่มหนังสือประเภทนวนิยาย ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๗ จาก คณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ รางวัลดังกล่าวจึงเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่า หนึ่งฟ้าดินเดียว ไม่ได้เป็นเพียงนวนิยายที่ให้คุณค่าประหนึ่งพลอยน้ำงามที่ได้รับการเจียระไนจากช่างฝีมือเอกมาประดับรวมกันอยู่ในเรือนแหวนค่าควรเมืองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นประดุจเสาหลักศิลาจารึกในรูปแบบใหม่แห่งยุคสมัย ที่จะทำให้พวกเราชาวไทยทั้งปวงทุกถิ่นทุกภาคได้รับรู้ถึงความเป็นมาของการเป็นชาติ ความเป็นมาของการรวมถิ่นแผ่นดินสยาม ที่กว่าจะมาผนึกรวมกันอยู่ใน‘หนึ่งฟ้าดินเดียว’นี้ เราต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้าง กว่าที่จะมาเป็น....“หนึ่งฟ้าดินเดียว” ขุนหอคำ (๒๕๔๗) ถือเป็นภาคจบของนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ไตรภาคชุดนี้ เพื่อบอกเล่าวิถีชีวิตและการปกครองแว่นแคว้นใหญ่น้อยของล้านนา ในช่วง พ.ศ. ๒๔๓๑ – ๒๔๓๓ ผ่านตัวละครรุ่นลูก คือ ภูเออ หรือ เจ้ามาวฟ้า บุตรชายของเจ้าม่อนฟ้ากับบัวบุรี และ อาบองค์ บุตรีของพญาเมืองรามรักษาเขตกับเจ้าระยับเนตร ซึ่งโชคชะตาได้พัดพาให้พวกเขามีโอกาสได้มาพบเจอกัน เมื่อเมืองนายเริ่มระส่ำระสาย เพราะพม่าเข้ามารุกราน ภูเออจึงต้องหนีภัยไปอยู่ที่เมืองเชียงตุง และได้มีโอกาสสมัครเข้าทำงานกับชาวอังกฤษที่มาสำรวจป่าไม้ในแถบทางตอนเหนือของล้านนา ซึ่งที่นี่เองที่ ภูเออ ได้พบกับ อาบองค์ ธิดาสาวอายุราว ๑๓ ปีของ พญารามรักษาเขต ที่ได้ออกเดินทางติดตามบิดาของตนมาสำรวจชายแดนร่วมกับสยาม เมื่อทั้ง ภูเออ และ อาบองค์ ต่างก็เป็น ‘ครึ่งไพร่ครึ่งเจ้า’ เหมือนกัน มิตรภาพและความผูกพันที่ยากจะอธิบายจึงได้ก่อตัวขึ้นช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ ภูเออ เองก็ยังคงหนักใจอยู่ลึก ๆ กับคำหมั้นหมายที่เขาเคยได้ให้ไว้กับ เจ้านางเกาะหอม ธิดาของท้าวขวานแสนและเจ้านางไหมแสง ในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะได้มาเจอกับ อาบองค์ กฤษณา อโศกสิน เปิดบท “นำเรื่อง” ของ ขุนหอคำ บนอาณาจักรไต หรือ ไทใหญ่ ได้อย่างวิจิตรบรรจงด้วยภาษาวรรณศิลป์สมกับเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (นวนิยาย) ประจำปี ๒๕๓๑ ผู้ควบตำแหน่งฉายา “ราชินีแห่งสวนอักษร” ก่อนที่จะพาผู้อ่านไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คน และความสัมพันธ์ทั้งดีและร้ายระหว่างสยาม ล้านนา และไทใหญ่ ในวันที่ทั้งสามชนชาติขาดลอยออกไปจากการขับเคี่ยวกับพม่าแล้ว หากแต่กลับมีอังกฤษเข้ามาแทนที่ ผ่านนวนิยายขนาดยาวเกือบ ๘๐๐ หน้า ๗๕ บท ที่ถึงแม้ว่าจะมีคำศัพท์เฉพาะในภาษาถิ่นที่อ่านยากแทรกแซมอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่ด้วยความคมของเส้นเรื่องที่ปูมาตั้งแต่แรกเริ่มใน เวียงแว่นฟ้า – หนึ่งฟ้าดินเดียว เสน่ห์ของวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีที่แต้มอยู่ตลอดทั้งเรื่อง และ ‘เชิงอรรถ’ ที่ช่วยอธิบายเพิ่มความกระจ่างในบางคำ บางสำนวนได้เป็นอย่างดี การพาจินตนาการล่องลอยไปทั่วดินแดนอาณาจักรไต ใน ขุนหอคำ จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดนวนิยายไตรภาคขนาดยาวราวสองพันกว่าหน้า เวียงแว่นฟ้า - หนึ่งฟ้าดินเดียว และ ขุนหอคำ ของ กฤษณา อโศกสิน นับว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงเรื่องเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งที่คอนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพื้นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่แนบแน่นสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันกับจินตนาการอันบรรเจิดของผู้ประพันธ์ชั้นครู และทั้งวรรณศิลป์อันสละสลวยบนพล็อตเรื่องอันน่าสนใจเพื่อบอกเล่าจารึกเรื่องราวแห่งยุคสมัยของบรรพชน ... เท่านี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วภาพประกอบ โดย ผู้เขียน