สวัสดีค่ะผู่อ่านทุกคน เมื่อ ep.1 เราพาไปเที่ยวดอยอินทนนท์ - กิ่วแม่ปาน ต่อด้วย ep.2 จุดเช็คอิน ณ ดอยอ่างขาง ที่ต้องห้ามพลาด และนี่ก็มาถึง ep สุดท้ายกันแล้วนะคะสำหรับ เชียงใหม่ปลายหน้าหนาว ep.3 ผู้พิชิตยอดดอยผ้าห่มปก ยอดดอยที่สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย 03.00 น. เช้ามืดในวันเสาร์ ที่มีเสียงวัวร้องอยู่หน้าเต็นท์เป็นเสียงปลุกแทนที่จะเป็น เสียงของไก่ขัน เมื่อทุกคนพร้อมเราเริ่มเดินเท้าออกจากลานกางเต็นท์เพื่อมุ่งหน้าสู่ยอดดอยที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศไทย ยอดดอยผ้าห่มปก เส้นทางที่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง มีเพียงแสงไฟดวงเล็ก ๆ ในการส่องนำทาง แต่เส้นทางผ้าห่มปกเป็นเส้นทางที่ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราอยากเจอไม่ใช่ แสงแรกของวันบนยอดดอย แต่มันคือ เพื่อน ที่มาด้วยกันในทุกเส้นทางต่างหาก . . . จุดตั้งต้นของการเดินทางไปยอดดอยผ้าห่มปกที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งจะอยู่ที่เดียวกันกับบ่อน้ำพุร้อนฝาง เสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 50 บาท เหนือสิ่งอื่นใดคือการมาแช่น้ำพุร้อนและมาอาบน้ำกันที่นี่ ไปติดต่อรถรับ – ส่งของชาวบ้านที่จะขึ้นไปที่ลานกางเต็นท์กิ่วลมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลยค่ะ มีคนมาจอยกรุ๊ปกับเราอีก 3 คน โชคดีมากประหยัดเงินได้อีก รถจะมารับตอนบ่าย 2 โมง ระหว่างนั้นก็ไปทานข้าว เตรียมขนมกันให้พร้อม ด้านในจะมีร้านข้าว และขายของต่าง ๆ รวมถึงห้องน้ำให้บริการนะคะ ใครอยากแช่น้ำพุรอเวลารถมารับก็ได้นะคะ ที่นี่จะมีห้องแช่ส่วนตัวสำหรับ 3 – 5 คน และลานกลางแจ้ง หรือถ้าอยากแค่แช่เท้าอย่างเดียวอันนี้จะไม่เสียเงินค่ะ คือจะบอกว่าร้อนม๊ากกกกกก ร้อนสุด ๆ ร้อนแบบแช่ไม่ได้เลยจ้าาา ค่อย ๆ จุ่มลงไปทีละนิด ทีละนิด 5555555 ถ้าอากาศหนาว ๆ กว่านี้ก็คงจะอุ่นดี ได้เวลาออกเดินทางเพื่อไปสู่ยอดดอยผ้าห่มปกกันแล้ว ลุยยยยย “เอาจริงดิพี่ ให้นั่งตรงนี้อ่ะ” ไม้กระดานสองแผ่นพาดผ่านบนรถกระบะและถูกล็อกด้วยไม้ที่ตีประกบกันอย่างดี ขัดไว้ไม่ให้หลุดไหลออกด้านข้าง เป็นที่นั่งสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการความท้าทาย พี่คนขับจัดแจงเรียกขึ้นนั่งด้านบน ไม้ที่นั่งเงาวับไม่ต้องกลัวเสี้ยนตำก้นกันเลย น่าจะเกิดจากการถูไถไปมานับครั้งไม่ถ้วน รถโค้งทีนึงแผ่นไม้ก็เลื่อนไปตามแรงโน้มถ่วงแต่หายห่วเพราะมันไม่หลุดออกด้านข้างแน่นอนแค่ไหล ๆ เล็กน้อย ไม่นานทุกคนก็ตกลงปลงใจเลือกที่จะลงมานั่งข้างล่างดีกว่า ดูจะปลอดภัยกว่าเยอะเลย เส้นทางเริ่มเข้าสู่ภูเขาสูงชัน ถนนสายคอนกรีตที่เข้าโค้งทีก็หวาดเสียวที บางจุดยังคงเป็นถนนลูกรัง ซึ่งกำลังทำทางอยู่ เส้นทางโดยรวมไม่ได้ลำบากมาก มีความหวาดเสียวให้ตื่นเต้นสูบฉีดเลือดให้หัวใจอยู่บ้าง การขึ้นมาที่นี่ก็ติดต่อใช้บริการรถของชาวบ้านที่มีความชำนาญนะคะ ระหว่างทางก่อนถึงลานกางเต็นท์เราเจอพี่ผู้ชายเสื้อเทากำลังวิ่งขึ้นเขาตามถนนมาเรื่อย ๆ ซึ่งก็ได้คุยกับเพื่อนว่าพี่เขาจะวิ่งไปไหนนะ หรือวิ่งขึ้นมาจากตีนดอยจะขึ้นดอยเลย 555555 เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับการมาถึงลานกางเต็นท์กิ่วลม ลานกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย สมชื่อกิ่วลมจริง ๆ เพราะมันลมแรงมากกกกก พัดมาทีหนาวสั่นกันไปตาม ๆ กัน เรายกให้ที่นี่เป็นจุดที่รู้สึกว่าหนาวที่สุดในทริปนี้เลย ไปจัดแจงเรื่องเต็นท์แต่ไม่มีคนอยู่เลย เรานั่งรอสักพัก ก็มีพี่ผู้ชายเสื้อเทารีบเดินเข้ามา ใช่ค่ะ พี่คนเดียวกันกับที่เจอเขาวิ่งอยู่นั่นแหละ พี่ทหารที่ประจำอยู่ที่นี่ “โห พี่วิ่งมาถึงเร็วมาก” พี่เขาให้เลือกเอาเลยว่าจะนอนเต็นท์ไหน มุมไหนเพราะคนโล่งเหมือนเดิม น่าจะมีแค่ประมาณ 5 – 6 กลุ่ม ที่ขึ้นมา ค่าเช่าเต็นท์และเครื่องนอน – ค่าเช่าเต็นท์คนละ 75 – หมอน 20 – แผ่นรองนอน 20 – ถุงนอน 30 ด้วยความที่ข้างบนนี้แทบจะไม่มีอะไรเลย เราเลยมีคำถามมากมายที่จะถามเยอะมาก จนพี่เขาต้องบอกว่าพอก่อนนะขอพักก่อน 555555 สงสัยจะวิ่งมาจากตีนดอยจริง ๆ หยอก ๆ น้าาา ให้พี่เขาพักก๊อนนนน จากการสอบถามการขึ้นยอดดอยในวันพรุ่งนี้ได้ความว่า ในช่วงเทศกาลปกติจะมีไกด์ชาวบ้านขึ้นมาคอยให้บริการแต่ช่วงนี้คงไม่มีเดี๋ยวพี่ทหารคนนี้แหละจะพาไปนะจ๊ะ และมื้อเย็นของเราฝีมือทำกับข้าวสุดอร่อยของพี่ทหารอีกคนที่อยู่ร้านขายของ “รอแปปนึงนะน้องพี่หุงข้าวก่อน” และหลังจากนั้นพี่เขาก็ไปสับหมูต่อ กับข้าววันนี้มีข้าวไข่เจียวกับกะเพราหมูสับ เลือกกันอยู่นานว่าจะเอาอะไรดี “งั้นเอากะเพราหมูสับโปะด้วยไข่เจียวแล้วกันค่ะ” ถ้าใครไม่อิ่มเนี่ยแต่ไม่อยากกินข้าวจัดหนักแล้วก็มี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โอวัลติน กาแฟ ขายด้วยนะ ซึ่งร้านจะปิดตอน 2 ทุ่ม ความหนาวเริ่มปกคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ และการอาบน้ำก็ไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้น ไปค่ะล้างหน้าแปรงฟันก็พอแล้ว เข้านอนกันตั้งแต่ทุ่มครึ่งเลย เพราะอินเตอร์เน็ตก็เล่นไม่ได้นะคะสัญญาณพัดมาตามสายลมและพัดหายไปในทันที ก่อนนอนพี่ทหารแจ้งว่าให้เก็บอาหารเข้าเต็นท์ให้เรียบร้อยนะเพราะมีน้องวัวของชาวบ้านหลุดออกมาระวังน้องจะขโมยกินหมด ได้เวลาออกเดินทางไปสัมผัสลมหนาวให้ปากสั่นกันแล้ว เจอกันที่ยอดดอยผ้าห่มปกเลยจ้า เตรียมน้ำดื่มขวดเล็กและลูกอมไปทานแก้เหนื่อยด้วยนะคะ 03.00 น. เช้ามืดในวันเสาร์ ที่มีเสียงวัวร้องอยู่หน้าเต็นท์เป็นเสียงปลุกแทนที่จะเป็นเสียงไก่ขัน ไม่นานเสียงนั้นก็หายไป เราพยายามขุดตัวเองออกจากถุงนอนมานั่งดูดาวบนท้องฟ้าคืนนี้ดาวสวยกว่าคืนไหน ๆ เราพบกองอึของน้องวัว 2 กองที่หน้าเต็นท์ และพบว่าถุงเท้าของเพื่อนได้หายไป 2 คู่ “ก็พี่เขาบอกให้เก็บแค่อาหารอ่ะ” สงสัยกลิ่นของถุงเท้าจะยั่วยวลเกินไป 555555 04.00 น. เมื่อทุกคนพร้อม เราเริ่มเดินเท้าออกจากลานกางเต็นท์เพื่อมุ่งหน้าสู่ยอดดอยที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศไทย ยอดดอยผ้าห่มปก ที่ทุกคนต่างเดินทางมาเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม ทะเลหมอกสุดอลังการ ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาถึง เส้นทางที่เรายังไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไง มีเพียงแสงไฟดวงเล็ก ๆ ในการส่องนำทาง บางจุดนี่ถึงกับต้องคลานกันขึ้นไปเลย ขึ้นเขา ลงเขา เดินยากบ้าง ง่ายบ้างสลับกันไป ได้แต่คิดว่าผ่านกันมาได้ยังไง เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง กับระยะทาง 3.5 กิโลเมตร เราก็เดินทางมาถึงยอดดอยผ้าห่มปกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,285 เมตร พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นตอน 06.48 น. เมื่อฟ้าเริ่มสางเสียงพี่ทหารที่เป็นไกด์นำทางในทริปนี้บอกว่า “โชคร้ายนะวันนี้อากาศปิด” เราไม่เห็นวิวอะไรเลย แม้กระทั่งดวงพระอาทิตย์ว่าขึ้นอยู่ตรงไหน ทั่วทั้งพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกขาว กับอากาศความหนาวที่ 6 องศา เส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร แต่มันเป็นเส้นทางที่ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราอยากเจอไม่ใช่แสงแรกของวันบนยอดดอย แต่มันคือ “เพื่อน” ที่มาด้วยกันในทุกเส้นทางต่างหาก เสียใจมั้ยที่ไม่ได้เจอวิวที่อยากเจอ เรากลับมานั่งเขียนบทความนี้จนตกตะกอนทางความคิดได้หลายอย่างว่าจริง ๆ แล้ว เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะเจออะไร เราจึงตอบคำถามนี้ได้อย่างเต็มปากเลยว่า ไม่เลย เพราะสิ่งที่น่าเสียใจมากกว่าถ้าชวนเพื่อนไปเที่ยวแล้วเพื่อนไม่ไปด้วย 😁 สำหรับทริปนี้สนุกมากกกกก ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าน้าาา อยากพูดถึง ม่อนวัดใจ สักเล็กน้อย ตอนเดินขึ้นเราจะเจอกับม่อนนี้แหละที่เป็นด่านที่หินที่สุดของการเดินทางมายอดดอยผ้าห่มปกแล้ว ขาขึ้นเราไม่รู้หรอกว่ามันมีป้ายนี้ สิ่งที่จำได้คือต้องใช้มือในการคลานไต่ระดับขึ้นไป จุดวัดใจที่ชันมากจริง ๆ ลำบากทั้งขาขึ้นและขาลง ที่เราจะมาเห็นเส้นทางก็ตอนขาลงนี่แหละ ส่วนใครอยากรู้ว่ามันจะยากซักแค่ไหนเชียว ต้องลองมาสัมผัสเองนะคะ จบแล้วสำหรับทริปนี้คราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนเดี๋ยวจะมาเขียนให้อ่านกันนะคะ ฝากติดตาม Facebook ด้วยน้าาา 👉🏻 https://www.facebook.com/wanglaewpainai/