สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกๆ คนไปปีนเขา เดินป่า และหลีกหนีชีวิตที่วุ่นวาย เพื่อรีเฟรชร่างกายของพวกเรากันครับ ในทริป 2 วัน 1 คืนครั้งนี้ ผมเลือก "ดอยม่อนจอง" เป็นเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ครับ ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่ที่ อ.นันทบุรี จ.เชียงใหม่ โดยคำว่า 'ม่อน' เป็นคำเมือง หรือภาษาเหนือ แปลว่า ดอย ส่วนคำว่า 'จอง' เป็นภาษาเดียวกันแปลว่า สิ่งของที่มีลักษณะเป็น สามเหลี่ยม รวมแปลว่า ดอยที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งดอยม่อนจองนี้ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วยนะครับ การเดินทางไปดอยม่อนจอง เราจะเริ่มต้นจากตัวเมืองเชียงใหม่กันนะครับ โดยการเดินทางสามารถเลือกได้หลายวิธีมาก แต่ทริปนี้ผมจะขอแนะนำ "รถตู้" ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายพอสมควรครับ รถตู้ขึ้นดอยจะจอดรออยู่หน้าศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 170 บาท (ควรโทรสอบถาม และจองที่นั่งก่อน) ล้อจะหมุนเวลา 5.00 น. (ตีห้า) โดยประมาณ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ คนไหนจะใช้บริการ แนะนำให้วางแผนทุกครั้งก่อนนะครับ โดยรถตู้จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง จะส่งถึงที่หมาย คือ หมู่บ้านมูเซอร์ เวลา 10 โมงเช้าครับ ช่วงที่ผมเดินทาง เป็นหน้าหนาว หมอกจะลงค่อนข้างจัด สร้างให้บรรยากาศน่าเที่ยวขึ้นไปอีกมากเลย เวลา 10.00 น. โดยประมาณ ณ หมู่บ้านมูเซอร์ สิ่งแรกที่เราต้องทำเลย คือ การจองรถขึ้นดอยกัน ( รถโฟร์วิล) เพราะระยะทางระหว่างหมู่บ้านมูเซอร์กับจุดขึ้นดอยม่อนจองนั้นค่อนข้างไกล และเดินทางลำบาก ผมแนะนำว่าควรหาเพื่อไปด้วย หรือจะไปหาหน้างานก็เป็นอะไรที่สนุก และจะสบายกระเป๋ากว่าเดินทางคนเดียวนะครับ นอกจากค่ารถแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังนี้ครับ 1. ค่าลูกหาบ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับการตกลงกับลูกหาบครับ โดยปกติ 500 บาท ผมแนะนำว่าควรจ้างครับ เพื่อความสะดวกสบาย (ลูกหาบบางคนช่วยเรากางเต็นท์ และจุดกองไฟด้วยนะครับ) 2. ค่าเต็นท์ นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของเต็นท์ โดยถ้าเรานำมาเองก็จะสามารถประหยัดส่วนนี้ไปครับ การเดินทางช่วงแรกจะเป็นที่ราบซะส่วนใหญ่ ทำให้ไม่เหนื่อยมาก บวกกับลมเย็นๆ ที่โชยมา ทำให้ผมลืมปัญหาต่างๆ ที่สะสมมาตลอดปี ในช่วงบ่ายแก่ๆ เราก็มาถึงเส้นทางที่เป็นที่เนินสูง โดยอุปกรณ์ที่ทุกคนควรหยิบติดมือมากันด้วย คือ ไม้พลอง ซึ่งจะถูกวางไว้มากมาย ณ จุดเริ่มต้นการเดินทาง ผมแนะนำให้หยิบไม้ที่ถนัดมือกันคนละอันครับ เพราะเชื่อว่าจะมีประโยชน์ทั้งในการเดินทาง และการถ่ายรูป (เกี่ยวไหม ฮ่าๆ) แน่นอนครับ เมื่อเรามาถึงจุดกางเต็นท์ จะเป็นช่วงเย็น ผมแนะนำให้เพื่อนๆ รีบกางเต็นท์ด้วยความรวดเร็ว เพราะสิ่งที่เราจะพลาดไม่ได้เลยในช่วงเย็น คือ การชมพระอาทิตย์ตก ณ ผาหัวสิงห์ ซึ่งจะเป็นจุดที่เราได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติที่สุด ด้วยสายลม แสงแดด และความเงียบสงบนั้นเอง นับเป็นสิ่งที่ผมให้เป็นที่สุดในทริปนี้เลยครับ แต่เพื่อไม่ให้พลาดบรรยากาศเหล่านี้ เราควรจะรีบเดินทางไปให้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตกนะครับ โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาทีในการเดินทางครับ เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายดับลง เวลาที่เราทุกคนจะนั่งล้อมวงกันทำ และทานอาหารก็มาถึง ผมแนะนำว่าควรเตรียมวัตถุดิบก่อนขึ้นมานะครับ เพราะเมื่อขึ้นมาแล้ว ไม่มีอะไรขายครับ ทางด้านเครื่องดื่ม ถ้าต้องการแบบเย็นๆ ที่นี่จะใช้ระบบธรรมชาติครับ คือการนำเครื่องดื่มไปแช่ในน้ำตกที่เย็นมากๆ ทิ้งไว้สักพักจะได้เหมือนกับแช่เย็นในตู้เลยล่ะครับ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เพื่อนๆ อย่าลืมเก็บขยะด้วยนะครับเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย ตกค่ำลานกลางเต็นท์จะอากาศหนาวมาก ช่วงเวลาที่ผมไปนั้นอุณหภูมิต่ำสุด 7 องศาเซลเซียสครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเตรียมถุงนอน ผ้าห่ม ยา ไปให้พร้อมนะครับ ในช่วงเช้า การชมพระอาทิตย์ขึ้นเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเช่นเดียวกัน และผมยังคงแนะนำให้วางแผนการเดินทางล่วงหน้าสัก 1 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะครับ ส่วนใครที่ไม่ได้ไปชม ก็อย่าลืมเก็บของที่เต็นท์ พร้อมกับเก็บขยะให้เรียบร้อยนะครับ โดยในช่วงสายจะเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินทางลงกัน ระหว่างทางเราก็จะพบนักท่องเที่ยวที่เดินสวนขึ้นมาเป็นระยะๆ อย่าลืมทักทายกันด้วยนะครับ สุดท้ายนี้ ผมขอฝากให้เพื่อนๆ ทุกคนออกไปลองสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองนะครับ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ไม่มีประสบการณ์ไหนจะยิ่งใหญ่เท่าเราได้สัมผัสด้วยตัวเองครับ สำหรับทริปนี้ ขอลาเพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ