เชียงใหม่ ถือเป็นอีกดินแดนหนึ่งที่ดินอันดับการค้นหาในระดับ Top 10 ของโลก ที่ผู้คนจากทุกทิศเลือกที่จะมายังเมืองกลางหุบเขาแห่งนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าในเชียงใหม่ กำลังมีสถานที่อีกแห่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานนักและกำลังจะเป็นอีก 1 แลนด์มาร์คสำคัญที่เหมาะสำหรับ สาย Backpacker , Slow life ยิ่งนัก นั่นคือ " นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง " เริ่มต้นการเดินทางจากที่ผมและเพื่อนสนิท ตั้งแต่ม.ต้น มาอยู่ในช่วง turning point และมีโอกาสได้คุยกัน เลยชักชวนกันว่า เที่ยวเหอะ พลังงานหมดว่ะ ผมเลยตัดสินใจชวนกันไปเชียงใหม่ เพราะมีความทรงจำที่เพื่อนเคยอยากระลึกถึงอยู่ และก็ได้หาที่เที่ยว นานมาก แต่ก็ยังรู้สึกไม่อิน จนใกล้ถึงวันไปเที่ยวที่เพื่อนๆลากันแล้วยังหาที่เที่ยวไม่ได้เลย ผมก็นั่งดูรูปที่เที่ยวทั้งในและต่างประเทศไปพลางๆ ดันไปเห็นรูปนาขั้นบันไดที่เวียดนาม เลยคิดว่าไทยจะมีบ้างเปล่าเนี่ย พอหาไปหามา มีจริงๆ และอยู่เชียงใหม่ด้วยและผมมาเจอกับ บ้านป่าบงเปียง เลยตัดสินใจหาข้อมูลที่พัก และโทรติดต่อ โดยบ้านป่าบงเปียง จะมีที่พักทั้งหมด 9 เจ้าของ แต่ละเจ้าของก็จะอยู่ไม่ไกลกันมาก และใช้ราคาที่พัก เรทเดียวกันทั้งหมดนั่นคือ 500 บาท/คน/คืน พร้อมอาหาร 2 มื้อ เช้า-เย็น (มัดจำ 500 บาท/กรุ๊ป) หลังจากนั่นก็โทรเช็คได้ทั้งหมด และได้ที่พักที่สุดท้าย และห้องสุดท้าย โชคดีแท้ การเดินทางเริ่มต้นจากตัวเมืองเชียงใหม่ สำหรับคนที่ไม่มีรถ สามารถขึ้นรถที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ตรงประตูเมืองเชียงใหม่ได้เลย ใช้รถโดยสารสีเหลือง เชียงใหม่-จอมทอง ราคาจะอยู่ที่คนละ 35 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง ถึงคิวรถตรงพระธาตุจอมทอง และต้องเช็คคิวรถ แม่แจ่ม-จอมทองให้ดี เพราะวันนึงจะมีเพียง 5 เที่ยวเท่านั้น หลังจากนั้นผมได้ขึ้นรถเที่ยว 13.30 น. จากจอมทอง เพื่อไปแม่แจ่ม ค่ารถอีกคนละ 80 บาท โดยรถจะวิ่งขึ้นเขาผ่านดอยอินทนนท์ กิ่วแม่ปาน เพื่อข้ามไปยังแม่แจ่ม ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1.30-2 ชั่วโมง (ลงจากรถทีชาจากคอยันหลังนึกว่าเป็นอัมพาตไปแล้ว) โดยสัมภาระมีค่าติดตัวไว้ ส่วนอื่นๆต้องใส่บนหลังคาอย่างเดียว ถึงคิวรถแม่แจ่ม ซึ่งคิวรถที่นี่อย่าเพิ่งตกใจไป คนอื่นอาจมองว่าเป็นศาลาพักรถ แต่ถ้าจะเข้าเมืองมีจุดเดียวจ้าา และต่อรถชาวบ้านอีกประมาณ 30-40 นาที ทางที่พักจะจัดจ้างให้เรา หรือเราสามารถหาเพิ่มเติมเองได้ (แต่ไม่แนะนำนะครับ ลำบากมากเว่อร์) ค่าจ้างรถประมาณคันละ ตั้งแต่ 700-1,500 บาท ในที่สุดจาก 10.00-16.30 ผมก็ถึงที่หมาย เมื่อยมากกก กอ ไก่ 56 ล้านตัว แต่พอเจอวิว กับ บรรยากาศ หายเหนื่อยเลย ไม่ได้สวยจนตะลึง แต่มันคือธรรมชาติแบบ real จนหลงใหลในบรรยากาศมากจริงๆ หลังจากนั้นช่วงประมาณ 1 ทุ่ม ชาวบ้านจะเอาอาหารมาให้ เป็นกับข้าวง่ายๆแต่รสชาติถือว่าถูกปากอยู่นะ ลืมบอกไปว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้านะครับ เค้าจะเปิดไฟถึงแค่ประมาณ 2-3 ทุ่ม แต่ก็จะให้เทียนไขมา 4 เล่มให้เราจุดกันเอาเอง อย่าลืมแบ่งไปจุดในห้องน้ำด้วยนะ 555 ส่วน Power Bank ก็จำเป็นเลยแหละ เพราะไม่มีปลั๊ก ช่วงที่มานะครับ จะแบ่งเป็น 3 ช่วงคือ ก.ค. - ส.ค. จะเป็นต้นกล้าเล็ก กับผืนน้ำสะท้อนกับแสง ส.ค. - ต.ค. นาสีเขียวชอุ่ม ต้นใหญ่มากขึ้น ต.ค. - พ.ย. นาสีเหลืองทอง พร้อมเก็บเกี่ยว และอย่าลืมดูข้างขึ้นข้างแรม ถามว่าทำไมต้องดู เพราะที่นี่กลางคืนจะไม่มีไฟจากเมืองรบกวน ทำให้ท้องฟ้าจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เหมือนหนังเรื่อง Croods ตอนที่ดับไฟแล้วขึ้นไปดูดาวบนยอดไม้ยังไงยังงั้นเลย ข้างขึ้น - พระจันทร์เต็มดวง ข้างแรม - เห็นหมู่ดาว และตื่นเช้ามาพร้อมกับอาหารอีก 1 มื้อ และสามารถโทรแจ้งให้รถมารับได้ โทรแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงนะครับ และกลับเส้นทางเดิม เมื่อยอีก 6 ชั่วโมง 55555