หลังจากที่เราจบ EP.1 ไปกับการเข้านอนวันที่ 2 เรามาต่อกันด้วยวันที่ 3 ของการไปเชียงใหม่คนเดียวกันนะคะ มาดูกันว่า เราจะพาทุกคนไปที่ไหนกันบ้าง ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่ เราเลยอยากเขียนในหัวข้อพาเที่ยวปีใหม่ด้วยเลย เผื่อเป็นทางเลือกให้กับใครหลายๆคน มาอ่านไปพร้อมๆ กันได้เลยค่าา (สำหรับคนที่เข้ามาใหม่ สามารถติดตาม EP.1 ได้ที่นี่เลยค่า >>> https://cities.trueid.net/post/18804 ) ย้อนไปคืนวันที่ 2 ก่อน เราไม่มีแพลนของวันรุ่งขึ้นเลยว่าจะไปไหน ไปยังไง แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดของการพัก Hostel คือ พนักงานต้อนรับค่ะ เราไปคุยกับน้องพนักงานต้อนรับ เป็นน้องผู้หญิง น่ารัก และข้อมูลแน่นมาก เลยได้ข้อสรุปมาว่า ไปขึ้นดอยสุเทพ-ปุย ค่ะ น้องจัดการบอกเส้นทางรถแดง การไปที่ถูกที่สุด ให้เสร็จสรรพ #วันที่ 3 เราไปดอยสุเทพ-ปุย เรานั่งรถแดง (แหม พอได้ยินคำว่ารถแดง เราก็นึกถึงเพลงขึ้นรถแดงของน้องชูใจขึ้นมาเลยค่ะ 🤩) นั่งจากหน้า hostel ไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นคิวรถแดงที่ไว้สำหรับคนไปเที่ยวบนดอยสุเทพโดยเฉพาะ ต้องบอกก่อนว่า ถ้าเป็นรถแดงทั่วไปที่วิ่งรอบเชียงใหมล่ะก็เราโบกได้เลยและจะบอกให้ไปส่งที่ไหนก็ได้ แต่ต้องต่อรองราคาดีๆนะคะ คิวรถแดงขึ้นดอยที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีให้เลือก 3 โปรแกรม คือ ดอยสุเทพ-พระตำหนักภูพิงค์- หมู่บ้านม้งดอยปุย ราคาต่างกันนะคะ ดอยสุเทพ ไปกลับ 80 บาท ดอยสุเทพ-ภูพิงค์ ไปกลับ 140 บาท ดอยสุเทพ-ภูพิงค์-หมู่บ้านม้งดอยปุย ไปกลับ 180 บาท ราคาก็ถือว่ากลางๆ เหมือนซื้อทัวร์อ่ะค่ะ เจ้าของรถจะจอดให้เราแวะที่ละประมาน 1 ชั่วโมง ให้เราได้เดินเที่ยวไหว้พระกันได้อย่างเต็มที่ (ในภาพคือเรานั่งกระบะคนเดียว เพราะคนอื่นนั่งหน้าหมดเลย....รถนี่เป็นของฉัน!) มาเริ่มกันที่หมู่บ้านม้งดอยปุยกันค่ะ บนยอดดอยปุย เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง หรือที่เราเรียกว่า แม้ว อยู่เลยขึ้นไปจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ระยะทาง 4 กิโลเมตร ทัศนียภาพบนดอยปุยเป็นต้นไม้ใหญ่และป่าสน อากาศจะเย็นกว่าด้านล่าง โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ซึ่งเป็นหน้าหนาว เหมาะแก่การมาสูดอากาศเย็นมาก ผสมแดดอ่อนๆ กับลมเย็นๆ ฟินมากๆเลยค่ะ นอกจากนั้นยังเด่นด้วยดอกไม้เมืองหนาวที่ชาวเขาปลูกไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมบรรยากาศ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคมดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือที่เราเรียกกันว่า ซากุระเมืองไทย นั่นแหละค่ะ ซึ่งจะออกดอกเป็นสีชมพูปกคุมดอย บริเวณหมู่บ้านเป็นตลาด วิถีชีวิตบนดอย ขายของท้องถิ่น ชุดแม้ว และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีบริการชุดแม้วให้เช่าถ่ายรูปอีกด้วย หากใครมาเที่ยวดอยปุยช่วงปีใหม่ จะมีกิจกรรม “ปีใหม่ม้ง” ประจำดอย ด้วยค่ะ เป็นกิจกรรมปีใหม่ที่ชาวเขาเผ่าม้ง เค้าจัดกันเป็นประจำทุกปี มีกิจกรรมพื้นเมือง เช่น การโยนลูกช่วง การร้องรำทำเพลง เป็นต้น ซึ่งจะคึกคักกว่าช่วงวันธรรมดา ขายผ้า ขายเพชร ขายพลอย ขายแหวน ขายสร้อย อยู่บนดอยปุย ทุกคนคงเคยได้ยินท่อนนี้จากเพลง "สาวเชียงใหม่" ของคุณสุนทรี เวชานนท์ กันใช่มั้ยคะ บางคนแทบจะไม่รู้เลยว่าทำไมเพลงต้องบอกว่า ขายผ้า ขายเพชร ขายพลอย ขายแหวน ขายสร้อยอยู่บนดอยปุย ด้วย จนกระทั่ง เข้ามาสัมผัสบรรยากาศจริงๆ คือเป็นแบบดั้งเดิมที่ ชาวเขาจะนิยมใส่เครื่องเงิน ผ้าพื้นเมือง รวมไปถึง พวกพลอยหลากสี ทุกวันนี้บนดอยปุยก็ขายของที่ท้องถิ่นตัวเองใช้อยู่มาก จึงนำมาใส่ในเนื้อร้องเพลงสาวเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการบอกเอกลักษณ์ชนเผ่าได้อย่างดียิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อของประจำถิ่นไปฝากญาติๆ เพื่อน พี่น้อง เป็นของขวัญปีใหม่ได้นะคะ นอกจากนั้นยังมีดอกไม้เมืองหนาว ยอดสูงสุดมีการปลูกสตอเบอรี่ และกาแฟของชาวม้งเองด้วยค่ะ เราไปชิมมาแล้ว รสชาติดีทีเดียวเลย หลังจากนั้นรถแดงพาเราลงมาที่จุดจอด พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงานและเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ พ.ศ.2504 บริเวณพื้นที่โดยรอบ เป็นสวนพันธุ์ไม้ฤดูหนาว เช่น กุหลาบหลากสี หลากสายพันธุ์ สามารถเดินบนทางเดินได้รอบตำหนัก เหมาะแก่การถ่ายรูปและคนที่ชอบดอกไม้ค่ะ (ค่าเข้าชม 20 บาท) และนั่งรถลงมาที่ดอยสุเทพเป็นจุดสุดท้ายของทัวร์ดอยค่ะ หลายๆคน คงรับรู้ถึงความสวยงาม และวิวของดอยสุเทพกันมาบ้างแล้ว บนดอยมีกิจกรรมเดินสวดมนตร์รอบพระธาตุ ไหว้พระขอพร ทำบุญ ตรงนี้สำหรับคนไทยไม่เสียเงินนะคะ แต่ถ้าเป็นต่างชาติจะมีค่าธรรมเนียมการเข้าชมค่ะ ความพิเศษของทัวร์ดอยนี้คือ ได้เพื่อนใหม่ค่ะ เนื่องจากเราไปคนเดียว มีกลุ่มป้าๆ กลุ่มหนึ่งที่ขึ้นรถแดงไปพร้อมเรา ชวนเราเข้าแก๊งเดินเที่ยวด้วย ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ต่างวัย ชวนคุยตลอดทาง เลยไม่เหงาค่า เป็นชาวต่างชาติสองคน ได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วยคะ (แอบถ่ายด้านหลังนะคะ) พอลงดอย ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ เราเลย search หาคาเฟ่ชิคๆ ใกล้ๆ hostel ไปนั่งโง่ๆ และพักผ่อน ลงตัวที่ Gallery seescape นิมมาน ซอย 17 เป็นคาเฟ่ศิลปะค่ะ มีการจัดแสดงผลงานหมุนเวียนของศิลปิน สินค้าแนวอาร์ตๆ ไปลองกันได้นะคะ ร้านน่านั่งมากๆ และปิดท้ายวันนี้ด้วยการกิน "คั่วไก่นิมมาน" เราได้ยินชื่อเสียงมานานมาก แต่ไม่มีโอกาสได้ลอง วันนี้เลยต้องเข้าไปชิมสักหน่อย เราสั่งคั่วไก่กระทะร้อน สนนราคาที่ 75 บาท รสชาติดีทีเดียว อร่อยแบบไม่เหมือนคั่วไก่ที่เรากินใน กทม อ่ะ บอกไม่ถูก บอกได้แค่ว่าอร่อย ไม่เละ มีความกรอบนิดๆปนเส้นนุ่มๆ ทานกับซอสพริกสูตรเฉพาะ คนชอบก๋วยเตี๋ยวคั่ว ต้องไปลองทานสักครั้งค่ะ ขอแถมด้วย Memorize browine ค่ะ บราวน์ครีมสดชื่อดังของเชียงใหม่ อร่อยค่ะ ไม่หวานมาก สนนราคา ที่ 75 บาท พร้อมกับครีมสด 1 กระปุก เข้ากันมากกกก กินลืมอ้วนไปเลยอ่ะ 👍🏼 หมดวันที่ 3 ขอตัวไปนอนก่อนค่าาา...... ตื่นเช้ามาสำหรับวันที่ 4 ของการอยู่เชียงใหม่ ต้องกลับวันนี้แล้วสินะ TT สำหรับวันที่ 4 ด้วยความกลัวว่าจะไม่มีตั๋วกลับ เราตื่น ตีห้า เรียก grab ตรงไปอาเขตซื้อตั๋วรถทัวร์ และพบว่า ไม่ต้องรีบก็ได้จ้า 55555 รถทัวร์มีเยอะเลย และมีตลอด เราได้รถรอบ 7.30 น. ระหว่างรอรถออก ก็นั่งกินข้าว ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และนั่งรถทัวร์ยิงยาวกลับบ้าน สำหรับ ค่าใช้จ่ายในการไปเชียงใหม่ครั้งนี้นะคะ เราขอลิสต์เฉพาะค่าเดินทางนะคะ เพราะเรากินเยอะมาก และกินตลอดด้วย เลยไม่สามารถจดและสรุปออกมาได้ ส่วนค่า hostel เราจองผ่าน agoda ค่ะ ราคาโปรโมชั่น สองคืนประมาน 490 กว่าบาท ไปดูรีวิวที่ Ep.1 ได้ค่า สำหรับคนโสด เหงาๆ ที่ต้องการเที่ยวคนเดียวข้ามปีแบบไม่มีรถส่วนตัว แนะนำเชียงใหม่ค่ะ คุณสามารถโดยสารรถสาธารณะได้ 24 ชั่วโมง จะไป Countdown กับเพื่อนใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ก็มีจุด Countdown หลายที่ โดยเฉพาะตามลานห้างสรรพสินค้า ทีนี้คุณอาจจะไม่โสดกลับไปก็ได้นะคะ แอบมีลุ้นกันไป... อิอิ ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ เราขอจบการบันทึกการเดินทางไปเชียงใหม่คนเดียว 4 วัน 3 คืนไว้เท่านี้นะคะ หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจหรือข้อมูลดีๆ สำหรับคนที่กำลังจะไปเที่ยวคนเดียวในช่วงปีใหม่ หรือกำลังหาข้อมูลเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่ ไม่มากก็น้อยค่ะ .... ปีใหม่นี้ขอให้ทุกคนเที่ยวให้สนุก ปลอดภัย และเดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ